รีวิว Final Fantasy 7 Remake – ปฐมบทพี่คล้าวในอาณาจักรมิดการ์
ทีมงาน Online Station ขอขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment ประเทศสิงคโปร์ ที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกม Final Fantasy 7 Remake เพื่อใช้ในการรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วย
แพลตฟอร์ม – PS4
ผู้พัฒนา – Square Enix
วางจำหน่าย – 10 เมษายน 2020
ก็เหลืออีกเพียงไม่กี่วันแล้วนะครับที่เกมเมอร์ในไทยจะได้สัมผัสเกม Final Fantasy 7 Remake กัน ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมนี้ได้ถูกตั้งความหวังจากแฟน ๆ ไว้มาก หลังจากที่เคยมีกระแสเรียกร้องให้ Square Enix หยิบเกมนี้มารีเมคอีกรอบ กระทั่งความฝันนั้นก็เป็นจริงเมื่อมีการเปิดตัวเกมนี้ครั้งแรกในงาน E3 2015 แต่ระยะเวลา 5 ปีที่ผู้คนต่างรอคอยกันนั้นจะสมกับความคาดหวังกันหรือไม่ หวังว่ารีวิวนี้จะพอช่วยประกอบการพิจารณาได้นะครับ
ขอพูดถึงระบบการต่อสู้กันก่อน ด้วยความที่แก่นของระบบต่อสู้ได้มีการเปลี่ยนมาเป็น Action RPG เต็มตัว และทีมพัฒนาเองก็พยายามให้ผู้เล่นหน้าเก่าและใหม่เข้ามาเจอกันที่ครึ่งทาง เกมเลยมีให้เราเลือกปรับ 3 ระดับ โดยระดับ Classic จะตอบโจทย์คนที่คุ้นชินกับระบบป้อนคำสั่งตัวละครเหมือนเวอร์ชั่นเก่า ขณะเดียวกัน ถ้าเป็น Easy หรือ Normal ผู้เล่นจะต้องเน้นแอ็กชั่นมากขึ้น คล้ายกับเกมแนว Hack & Slash และเพื่อความรวดเร็วจึงต้องมีการใช้ฮอตคีย์ในการใช้ไอเทมหรือสกิลที่เซ็ตไว้อยู่บ่อย ๆ รวมถึงสามารถเปลี่ยนตัวละครที่เราบังคับขณะสู้ได้ด้วย ซึ่งศัตรูจะมุ่งโจมตีตัวละครที่เรากำลังบังคับอยู่เป็นหลัก โดย AI ของตัวละครที่เราไม่ได้บังคับจะมีความฉลาดระดับนึง พอเห็นศัตรูร่ายเวทคำสาปที่ปรากฏเป็นวงบนพื้นก็จะเบี่ยงหลบเองอัตโนมัติ และบ่อยครั้งมักจะกลิ้งหลบเอาตัวรอดเองได้เวลาศัตรูใช้ท่าโจมตีรายบุคคล
อย่างไรก็ตาม แก่นของระบบต่อสู้ที่เกมนี้พยายามจะนำเสนอก็คือระบบ Stagger ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก FF13 ที่จะเป็นเกจอยู่ด้านล่างถัดจากเกจพลังชีวิตของศัตรู เมื่อไหร่ก็ตามที่เราโจมตีมันจนเกจนี้เต็ม ศัตรูก็จะเกิดอาการ Stagger ทำให้มันไม่สามารถขยับตัวได้ และพลังป้องกันจะลดลงฮวบฮาบ เป็นโอกาสทองให้เราเข้าไปทำดาเมจได้เต็มที่ แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ การจะทำให้ศัตรู Stagger ได้นั้นไม่ได้จำกัดแค่ว่าต้องทำดาเมจแรง ๆ เสมอไป (ในภาค 13 คนทำหน้าที่หลักในการปั่นเกจ Stagger คือคนใช้แผน Ravager ที่โจมตีด้วยเวทมนตร์) หากแต่การโจมตีด้วยธาตุที่ศัตรูแพ้ทาง หรือใช้สกิลหรืออาวุธที่มีคุณสมบัติในการบูสต์เกจ Stagger ก็ส่งผลได้ดีไม่แพ้กัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของศัตรูด้วย บางตัวจะมีชิ้นส่วนหรืออวัยวะให้โจมตีหลายจุด หากทำลายได้หมดก็จะติด Stagger ทันที ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องงัดทุกสิ่งที่มีมาใช้ในการปราบมันจริง ๆ
พอเกมเน้นแอ็กชั่นมากขึ้น แน่นอนว่าศัตรูในเกมก็มีการปรับให้มีลูกเล่นแพรวพราวตาม ถ้าใครเล่นระดับ Normal จะได้กดฮอตคีย์และสลับตัวละครบังคับไปมากันแทบจะมือเป็นระวิง แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วปุ่มตั้งการ์ด (ป้องกัน) แทบจะไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก เพราะถ้าศัตรูใช้ท่าโจมตีแรง ๆ ก็กันไม่ค่อยอยู่อยู่ดี แถมการตั้งการ์ดเราก็ยังได้รับดาเมจ แต่แค่ลดลงระดับนึง ดังนั้นการกลิ้งหลบ วิ่งหลบ ใช้เวทบัฟพลังป้องกัน หรือเปลี่ยนตัวละครบังคับไปเลย (ให้ศัตรูเปลี่ยนเป้ามาโจมตีตัวละครที่เราย้ายมาบังคับแทน) ยังจะมีประโยชน์ในสถานการณ์จริงมากกว่า
อย่างในเวอร์ชั่นออริจินัล ถ้าใครยังพอจำกันได้ อาวุธของแต่ละคนก็จะมีช่องใส่มาเทเรียที่ตายตัว บางอันมี 2 ช่อง บางอันมีถึง 8 ช่อง แต่ในภาครีเมคนี้จะมีระบบอัพเกรดอาวุธเพิ่มขึ้นมา ที่มีรูปแบบการอัพเกรดคล้าย ๆ กับ FF13 เลย ผู้เล่นต้องทำการอัพเลเวลตัวละครหรือหาไอเทมบางอย่างเพื่อเพิ่มค่า SP ซึ่งค่าดังกล่าวจะนำมาใช้อัพเกรด Perk ต่าง ๆ ให้อาวุธชิ้นนั้นของเรา บาง Perk เป็นการอัพ Stat ถาวรให้อาวุธ เช่น พลังโจมตี, บูสต์เกจ ATB หรือเพิ่มโอกาสการตีติด Stagger เป็นต้น ในขณะที่บาง Perk จะเป็นการเพิ่มสล็อตสำหรับใส่มาเทเรีย ทำให้จากเดิมอาวุธชิ้นนั้นเคยใส่มาเทเรียได้ 2 ลูก เมื่ออัพแล้วก็ทำให้ติดมาเทเรียได้เป็น 3-4 ลูก
จากที่กล่าวมาในย่อหน้าที่แล้ว มันเลยทำให้อาวุธแต่ละชิ้นของตัวละครนึงถูกจำแนกตาม Perk ที่มีให้อัพเกรด บางชิ้นจะเด่นในเรื่อง Stat ส่วนบางอันจะทำ Stagger ได้ดี บางอันก็จุมาเทเรียได้เยอะ จะติดตั้งสกิลหรือเวทมนตร์ก็ทำได้หลากหลาย โดยผู้เล่นสามารถเลือกหยิบมาใช้ได้ให้เหมาะกับสถานการณ์ อีกทั้งตัวละครทั้ง 4 ที่มีให้เล่นในเกมนี้ก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกันค่อนข้างชัดเจน อย่างคลาวด์ก็จะเน้นทำดาเมจ บาร์เร็ตก็จะเป็นแนวตอดจากระยะไกล ทิฟาเน้นรัวคอมโบเพื่อปั่นเกจ Stagger และแอริธจะเด่นเรื่องซัพพอร์ตอยู่แนวหลัง ทุกตัวละครจึงมีความจำเป็นต่อกันและกันในการต่อสู้ ไม่มีตัวไหนโดดเด่นไปกว่ากันแบบฉีกหนีมากนัก
ถัดมาเป็นเรื่องของกราฟิกและบรรยากาศการผจญภัยบ้าง ถือว่าเกินคาดครับกับงานภาพที่เนรมิตให้มหานครมิดการ์ (ซึ่งรูปทรงคล้ายกับพิซซ่าถาดใหญ่ที่แบ่งออกเป็น 8 ชิ้น) ให้ดูสวยงามตระการตาขนาดนี้ โดยทุกภาคส่วนของเมือง หรือแม้แต่ดันเจี้ยนที่เคยปรากฏในเวอร์ชั่นเก่าได้ถูกนำมาขยายสเกลจนชวนให้เดินสำรวจเล่นได้เป็นชั่วโมง โลเคชั่นหลายแห่งที่เป็นแลนด์มาร์คเด็ด ๆ ล้วนทำให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก โดยเฉพาะในเวอร์ชั่นนี้มีทำช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ทำให้เราได้เห็นสภาพของเมืองที่ต่างช่วงเวลากัน เลยสามารถสร้างความแตกต่างในเรื่องของบรรยากาศไปในตัว
สิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มมาใหม่ในเวอร์ชั่นนี้คือม้านั่งและตู้ขายไอเทม ซึ่งม้านั่งเปรียบเสมือนไอเทม Tent ที่เราสามารถฟื้น HP/MP ได้เต็ม แต่เมื่อในเวอร์ชั่นรีเมคได้ปรับให้เราสามารถเซฟเกมได้ทุกหนแห่ง ข้อดีก็คือเราไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ Tent มาใช้อีกต่อไป ในขณะที่ตู้ขายไอเทมบางครั้งจะมีขายไอเทมลดราคาพิเศษที่จำกัดจำนวน และบางตู้ก็จะมีขายแผ่นเพลงที่เราสามารถนำไปเปิดกับตู้เพลงได้ตามเมืองต่าง ๆ ซึ่งเพลงประกอบในเกมนี้จะเป็นเวอร์ชั่นรีมิกซ์ทั้งหมด และจะทยอยจัดหนักบรรเลงให้เราฟังตลอดช่วงการเดินทางไม่หยุดหย่อน เรียกไดว่าใครเคยเล่นเวอร์ชั่นเก่าต้องมีนึกถึงวันเวลาเก่า ๆ ที่เคยเล่นเกมนี้กันให้ได้เลย
สำหรับจุดที่เซอร์ไพรส์มากที่สุดในเกมกลับเป็นด้านของเนื้อเรื่องครับ เนื่องจากพล็อตหลายจุดมีการตีความใหม่ เพิ่มตัวละครหน้าใหม่เข้ามาบางตัว มิหนำซ้ำ บทสรุปของเรื่องราวใน Part นี้ รวมถึงสิ่งที่เราได้เจอขณะอยู่ในตึกชินระก็ต่างจากที่เราเคยได้เห็นกันในเกมเมื่อ 20 กว่าปีก่อน รวมถึงความเป็นไปของบางตัวละครที่เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ บางตัวในเวอร์ชั่นเก่าเคยมีชะตากรรมแบบนี้ พอมาในเวอร์ชั่นใหม่ก็ไม่ได้กลายเป็นแบบนั้นแล้ว ถ้าจะให้นิยามเกมนี้ให้ตรงประเด็นเลยจึงน่าจะเป็นการ “รีบูต” หรือ “สร้างโลกคู่ขนาน” ขึ้นมากกว่า ทั้งหมดนี้อยากให้เพื่อน ๆ ไปเผชิญและเห็นเองในเกมเอาอย่างแรง ซึ่งถ้าพล็อตมาทรงนี้ เราอาจได้เห็นสิ่งที่แฟน ๆ หลายคนอยากเห็นเมื่อ 20 กว่าปีก่อนใน Part ถัด ๆ ไปก็เป็นได้
จากที่กล่าวมา ทำให้รู้สึกว่าเกมนี้คือเกมใหม่เกมนึง ไม่ใช่เกมเก่าที่ถูกนำมาปัดฝุ่นทำกราฟิกด้วยเอนจิ้นยุคปัจจุบันเหมือนเกมรีเมคอื่น ๆ ทั่วไป เกมมีการนำเสนอความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในพล็อตเรื่อง พร้อมกับทิ้งปมใหม่ ๆ ฉีกจากเส้นเรื่องเดิม ซึ่งเป็นอะไรที่ชวนประหลาดใจ ตื่นเต้นที่จะตั้งหน้าตั้งตารอคอย Part ถัดไปว่าเนื้อเรื่องจะมาไม้ไหน ถ้าในมุมของผู้เขียนก็มองว่าน่าค้นหาและอยากติดตามดี
บรรดาความลับในเกมยังมีให้เก็บมากมาย รวมถึงบอสลับและมินิเกมใหม่ ๆ แต่แอบเสียดายในเรื่องของเควสต์ที่มีให้ทำน้อยไปหน่อย รวมทั้งหมดแล้วราว ๆ 20 กว่าเควสต์ ซึ่งกว่าเกมจะมีอิสระให้เราได้เดินทางแบบ Fast Travel ที่สามารถย้อนไปเก็บตกเควสต์ต่าง ๆ ก็ปาเข้าไป Chapter 14 แล้ว (จากทั้งหมด 18 Chapter) โดยใน Chapter ก่อนหน้า ผู้เล่นจะมีอิสระให้ทำนู่นทำนี่เฉพาะในโซนที่ต้องเกี่ยวพันกับเนื้อเรื่องหลักเท่านั้น
หลังจากเราจบเกมไปแล้วรอบนึง จะมีหัวข้อ Chapter Select ให้เราเลือกเข้าไปทำเควสต์ หรือเก็บความลับต่าง ๆ ที่ตกค้างหรืออะไรก็ตามที่เรายังไปทำมาไม่ครบได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดเก็บหีบหรือมาเทเรียที่ตกอยู่ตามทางแต่อย่างใด หรือใครอยากจะฟาร์มเลเวล ปั๊มเลเวลให้มาเทเรียก็ทำได้เต็มที่เช่นกัน
จุดเด่น
- ระบบสู้สนุก ท้าทาย และโครงสร้างของมันมีการออกแบบมาอย่างดีให้ผู้เล่นค่อย ๆ เรียนรู้และซึมซับกับระบบไปเรื่อย ๆ
- การอัพเกรดอาวุธและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของมาเทเรียทำออกมาน่าสนใจ
- พล็อตของเกมมีการนำมาตีความใหม่หลายจุด พร้อมทั้งเพิ่มปมประเด็นใหม่ ๆ ให้ติดตามเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากที่เรารับรู้ในเกมเวอร์ชั่นเก่า รวมถึงเปลี่ยนเส้นเรื่อง เปลี่ยนบทสรุปของเหตุการณ์ ตลอดจนความเป็นไปของหลายตัวละคร จนทำให้รู้สึกว่าเกมนี้เหมือนเกม “โลกคู่ขนาน” หรือ “รีบูต” มากกว่าเป็นการรีเมคทั่วไป
- งานภาพอลังการมาก และสามารถเนรมิตให้ดูสวยงาม มีชีวิตชีวาได้แทบทุกภาคส่วน แถมพอใส่กลางวันกลางคืนเข้ามาก็ยิ่งทำให้ได้บรรยากาศของเมืองขณะต่างช่วงเวลาที่แตกต่างกันลิบลับด้วย
- สเกลพื้นที่ของแต่ละฉาก ไม่ว่าจะเป็นโซนเมือง หรือโซนดันเจี้ยน ล้วนทำมาให้สำรวจหรือลุยได้นานเป็นชั่วโมง
- ตัวเกมมีการเคารพองค์ประกอบหลายอย่างจากเกมเวอร์ชั่นเก่า มาผสมผสานกับการนำสิ่งใหม่ ๆ ประยุกต์เข้ากับเกม เพื่อให้ผู้เล่นหน้าเก่าและใหม่สามารถเข้าถึงเกมนี้ได้ทั่วถึง
- เพลงประกอบรีมิกซ์ใหม่ที่ประเคนให้เราได้เสพความสุนทรีย์แบบไม่ยั้ง หลายเพลงฟังแล้วพาคิดถึงวันเวลาเก่า ๆ เมื่อ 20 กว่าปีก่อนเลย
จุดด้อย
- แอ็กติ้งและท่าทางของตัวละครบางตัวในเกมไม่ค่อยชวนให้อินมากนัก โดยเฉพาะคำพูดที่ใช้สนทนาดูไม่เหมือนคำที่คนทั่วไปในชีวิตประจำวันจะใช้กัน ส่วนใหญ่ยังคงให้อารมณ์เหมือนดูตัวการ์ตูนญี่ปุ่นคุยกันเสียมากกว่า
- เควสต์ย่อยมีให้ทำน้อยไปหน่อย ประมาณ 20 กว่าเควสต์เท่านั้น
สรุป
- สิ่งที่ผู้เขียนกังวลเพียงอย่างเดียวก็คงมีแต่ว่า เกมนี้จะถูกทำออกมาทั้งหมดกี่ Part กันแน่ เพราะส่วนตัวหวังไว้ลึก ๆ ว่าให้อยู่ประมาณ 3-4 Part จะกำลังสวย ซึ่งท่าที่เห็นจาก Part 1 นี้ก็ขอบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก และเหมือนได้เกมใหม่ เส้นเรื่องใหม่ ชวนให้เราได้คาดหวังที่จะเจอตอนจบของการตีความใหม่ด้วย
คะแนน 9 / 10
หากเพื่อน ๆ อ่านรีวิวแล้วสนใจอยากหาเกมนี้มาลองเล่น สามารถพรีออเดอร์แบบดิจิตอลดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
Standard Edition (PS4) – https://store.playstation.com/en-th/product/JP0082-CUSA07052_00-ASIAFULLGAME0000
Digital Deluxe Edition (PS4) – https://store.playstation.com/en-th/product/JP0082-CUSA07052_00-ASIADD0000000000