ในยุคที่หลาย ๆ ค่ายเกมมองว่าถ้าเกมสักเกมจะประสบความสำเร็จได้ มันก็ต้องอิงตามกระแสหลักและมีโมเดลรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว แต่ Clair Obscur: Expedition 33 กลับเลือกเดินเส้นทางตรงข้าม มันคือผลงานจากความฝันของทีมเล็ก ๆ ที่อยากสร้างเกมในแบบที่พวกเขาอยากเล่น โดยไม่ต้องยึดติดกับตัวเลขหรือสูตรสำเร็จใด ๆ พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าแนวคิดชัดเจน รวมถึงนำเสนอด้วยความสร้างสรรค์และคุณภาพจริง ๆ แม้จะไม่มีสูตรทางธุรกิจรองรับ ก็สามารถประสบความสำเร็จในตลาดที่เต็มไปด้วยเกมแบบเซฟ ๆ จากค่ายใหญ่ได้เช่นกัน ซึ่งวันนี้เราจะไม่ได้มาอธิบายว่าทำไมอะไรสักอย่าง 33 ถึงขายดีเกินคาด แต่เราจะพาคุณไปรู้จักกับเส้นทางของ Sandfall Interactive ทีมผู้พัฒนาที่อยู่เบื้องหลังเกมนี้ ว่ากว่าจะมารวมตัวและสร้างเกมในฝันกันได้ พวกเขาได้ผ่านอะไรมาบ้างกันใน สารานุ-Game ตอน กำเนิดจากแพชชั่น Expedition 33
Guillaume Broche ครีเอทีฟไดเรกเตอร์และผู้ร่วมก่อตั้ง Sandfall Interactive เริ่มต้นเส้นทางในวงการเกมที่ Ubisoft ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างปี 2016 ถึง 2019 เขาเคยมีส่วนร่วมกับเกมฟอร์มยักษ์อย่าง The Division 2 และ Ghost Recon Breakpoint ก่อนจะถูกย้ายมาร่วมพัฒนา Might & Magic: Elemental Guardians เกม RPG บนมือถือแบบ Free-to-play ที่แม้จะเรียกว่าเป็นเกม RPG แต่ก็ห่างไกลจากสิ่งที่เขาหลงใหลอย่าง Final Fantasy หรือ Persona อย่างสิ้นเชิง เพราะแทนที่จะได้เล่าเรื่องหรือถ่ายทอดประสบการณ์สวมบทบาทแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเกม RPG จากฝั่งญี่ปุ่น เกมกลับต้องเดินตามสูตรการตลาดแบบเกมมือถือเต็มตัว และในฐานะพนักงานคนหนึ่งในองค์กรขนาดใหญ่ เขาไม่มีทางเสนอไอเดียสร้างเกม RPG ในฝันที่ขัดกับกลยุทธ์บริษัทได้ง่าย ๆ นั่นจึงเป็นจุดที่คุณ Guillaume ตัดสินใจลาออก เพื่อออกเดินทางบนเส้นทางใหม่ ในฐานะนักพัฒนาอิสระ ที่จะได้สร้างเกมในแบบที่เขาอยากสร้างจริง ๆ

Tom Guillermin คือเพื่อนร่วมงานของคุณ Guillaume ที่รู้สึกเบื่อกับการทำงานในระบบองค์กรขนาดใหญ่เช่นกัน ทั้งคู่จึงตัดสินใจลาออกจาก Ubisoft แล้วร่วมกันก่อตั้ง Sandfall Interactive ในขณะที่คุณ Guillaume รับหน้าที่วางวิสัยทัศน์และวิ่งหาเงินทุนเพื่อพาบริษัทให้อยู่รอด คุณ Tom ก็เป็นผู้ลงมือพัฒนาโปรโตไทป์ของเกมด้วย Unreal Engine 4 โดยสิ่งแรกที่เขาลงมือก็คือการ สร้างมุมกล้องและระบบการต่อสู้แบบเทิร์นเบส ที่แทรกกลไก Quick Time Event สำหรับการโจมตี และระบบ Parry สำหรับการป้องกันเข้าไประหว่างเทิร์น และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของ Clair Obscur: Expedition 33 หรือที่ในตอนนั้นพวกเขาใช้ชื่อระหว่างการพัฒนาว่า We Lost หรือ Project W

เมื่อโปรโตไทป์ของเกมเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง คุณ Guillaume ก็เริ่มมองหานักพากย์เพื่อให้เดโมสำหรับนำเสนอของ Project W ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เพราะเสียงพากย์ที่ดีไม่เพียงช่วยสร้างอารมณ์ให้เกม แต่ยังเพิ่มโอกาสในการดึงดูดทุนพัฒนาได้มากขึ้นด้วย ปัญหาคือ ในตอนนั้น Sandfall Interactive ยังเป็นแค่ทีมอินดี้ไร้สังกัด จะไปจ้างนักพากย์มืออาชีพหรือทำงานผ่านเอเจนซี่ก็แทบเป็นไปไม่ได้ ด้วยข้อจำกัดนั้น คุณ Guillaume จึงหันไปใช้วิธีที่ง่ายที่สุด คือโพสต์กระทู้ในบอร์ดหางานฟรีของเว็บไซต์ Reddit แทน ซึ่งเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่านักพากย์สมัครเล่นสักสี่ห้าคน แต่อีกหนึ่งทีมงานคนสำคัญในอนาคตที่เขาได้เจอผ่านกระทู้ของานฟรีก็คือคุณ Jennifer Svedberg-Yen ที่เข้ามาออดิชั่นในบท Maelle หนึ่งในตัวละครหลักของเกม แต่หลังจากคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปมา คุณ Jennifer ก็กลายมาเป็นโปรดิวเซอร์ฝ่ายเสียง และเป็นคนเขียนเนื้อเรื่องให้ Project W ไปเสียอย่างนั้น


ด้านดนตรีประกอบของเกมก็เกิดขึ้นจากความบังเอิญไม่แพ้กัน คุณ Lorien Testard นักประพันธ์หนุ่มที่ยังไม่มีชื่อเสียงในวงการ เคยแค่ลงผลงานเพลงของตัวเองไว้บน SoundCloud เท่านั้น แต่วันหนึ่ง เขาตัดสินใจเอาเพลงของตัวเองไปโพสต์ลงบนเว็บบอร์ดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่แทบจะร้างคน แต่คนที่บังเอิญผ่านมาเจอเว็บบอร์ดนั้นเป็นครั้งแรกแล้วได้กดเข้าไปฟังเพลงของคุณ Lorien ก็คือคุณ Guillaume ที่กำลังมองหานักประพันธ์ดนตรีประกอบสำหรับเกม Project W อยู่พอดี และด้วยความที่หลงไหลในดนตรีประกอบของวิดีโอเกมเป็นทุนเดิม จากการที่ได้เห็นคุณพ่อทำงานในร้านเกมตอนเด็ก ๆ คุณ Lorien จึงตกลงมาร่วมงานกับ Sandfall Interactive ด้วยอีกคน

จากทีมเล็กไม่ถึง 10 คนในปี 2020 Sandfall Interactive ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนมีพนักงานราว 20 คนภายในปีถัดมา และหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยยกระดับ Project W ให้ดูมีเอกลักษณ์และความเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น ก็คือคุณ Nicholas Maxson-Francombe ที่เข้ามาปรับทิศทางศิลป์ของเกมครั้งใหญ่ จากเดิมที่บรรยากาศในเดโมยังเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ดูคล้ายยุควิกตอเรียของอังกฤษ ซึ่งเป็นผลจากการใช้ทรัพยากรสำเร็จรูปของ Unreal Engine ให้กลายเป็นโลกในยุค Belle Époque ของฝรั่งเศส ที่เต็มไปด้วยความหรูหราและสง่างาม ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงช่วยให้เกมมีภาพจำที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงตัวตนที่ชัดเจนของเกมมากขึ้นด้วย


แม้ว่า Expedition 33 จะไม่ได้เป็นเกมฟอร์มยักษ์จากทีมพัฒนาที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่มันกลับกลายเป็นหนึ่งในเกมที่ทรงพลังและทรงคุณค่าที่สุดแห่งปี 2025 ทั้งในแง่ของเสียงตอบรับจากผู้เล่น และยอดขายที่เกินคาด เหมือนอย่างที่ ‘ท่านหลอด’ นักรีวิวของเรากล่าวไว้หลังให้คะแนนเกมนี้ไป 9 เต็ม 10 ว่า “นี่ไม่ใช่แค่ผลงานเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่มันคือหนึ่งในเกม JRPG สายเลือดใหม่ที่ครบเครื่องที่สุด เท่าที่เราจะนึกออกในรอบหลายปี” จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรนอกจากความฝันและความเชื่อมั่นในตัวเอง Clair Obscur: Expedition 33 จึงไม่เพียงเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ แต่มันยังเป็นแรงบันดาลใจให้ใครก็ตามที่อยากลุกขึ้นมาสร้างสิ่งที่ตัวเองรักให้เป็นจริงได้อีกด้วย…

เพื่อน ๆ สามารถติดตามดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลยครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก
Online Station
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station