ย้อนไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 1995 หรือวันนี้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เป็นวันเปิดให้บริการเกม Fatal Fury 3: Road to the Final Victory บนตู้อาร์เขดแบบหยอดเหรียญที่ประเทศญี่ปุ่นครับ โดยภาคนี้นับเป็นเกมลำดับที่ 4 ของซีรีส์ หลังจากที่เคยวางจำหน่ายภาค 1, 2 และ Special (ตัวอัปเดตของภาค 2) มาแล้ว ซึ่งภาค 3 มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรในแง่ของเกมเพลย์และการดีไซน์ตัวละคร ก่อนที่จะไปปรับโฉมของเกมอีกครั้งในยุคของภาค Real Bout ที่มาหลังจากภาคนี้
ในส่วนของบทความนี้เราจะมารำลึกความหลังกับเกมนี้กันเช่นเคยครับ
เนื้อเรื่องของภาค 3 จะเป็นเหตุการณ์ 3 ปีให้หลังจากที่เทอร์รี่ โบการ์ด (Terry Bogard) ตัวเอกของเกมสามารถปราบโวล์ฟกัง คราวเซอร์ (Wolfgang Krauser) และคว้าแชมป์ศึกคิงออฟไฟท์เตอร์ครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ ต่อมาเทอร์รี่ก็ออกเดินทางไปรอบโลกเพื่อพบปะเพื่อนใหม่และประลองฝีมือต่อสู้กับผู้คนมากมาย กระทั่งเมื่อเทอร์รี่กลับมายังเมือง South Town เขาก็ได้รับการติดต่อจากแอนดี้ (Andy Bogard) ผู้เป็นน้องชาย, โจ (Joe Higashi) และ ไม (Mai Shiranui) นินจาสาวคนสนิทของแอนดี้ โดยโจเล่าว่าตนเองทราบข่าวลือว่า กีส (Geese Howard) ที่เป็นบอสภาคแรกนั้นยังไม่ตาย และน่าจะรอสะสางแค้นกับเทอร์รี่อยู่ ด้วยเหตุนี้ เทอร์รี่กับพรรคพวกเลยต้องออกค้นหาความจริงเกี่ยวกับกีส
แต่หารู้ไม่ว่าชะตากรรมของพวกเทอร์รี่กำลังจะไปพัวพันกับอาชญากรญี่ปุ่นตัวฉกาจ และเด็กชาวจีน 2 คนจากตระกูลจินที่มีแผนการชั่วร้ายรอพวกเขาอยู่เบื้องหน้า
การต่อสู้ในภาคนี้มีการเพิ่มระบบใหม่ที่เรียกว่า Oversway System โดยภาคก่อน ๆ ฉากต่อสู้จะมีเลนต่อสู้ทั้งสิ้น 2 เลน คือเลนปกติและเลนที่อยู่ลึกเข้าไปในฉากหลัง ทว่าภาค 3 ได้มีการเพิ่มเป็น 3 เลน แบ่งเป็นเลนปกติ เลนที่อยู่ลึกเข้าไปในฉากหลัง (ต้องกดปุ่มต่อยเบา+เตะเบาในการเข้าเลน) และเลนที่ใกล้เข้ามาทางหน้าจอมากขึ้น (ต้องกดปุ่มต่อยหนัก+เตะเบาในการเข้าเลน) พร้อมกับปรับลดระยะเวลาในการอยู่เลนในกับเลนนอกให้ไม่สามารถอยู่เลนทั้ง 2 นาน ๆ ได้ กล่าวคือเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้เล่นที่อยู่เลนในหรือเลนนอกกดปุ่มโจมตีปุ๊บ จะเป็นการกระโจนกลับเข้ามายังเลนปกติทันที
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นที่อยู่ในเลนปกติก็สามารถโจมตีสวนกลับคนที่กระโจนมาจากเลนในหรือเลนนอกได้ด้วย หรือจะเบี่ยงหลบก็ได้เช่นกัน ซึ่งถ้าเบี่ยงหลบสำเร็จ คนที่โจมตีพลาดก็จะเปิดช่องให้อีกฝ่ายโจมตีโดยอัตโนมัติ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการเพิ่มระบบบล็อก (ตั้งการ์ด) ขณะลอยอยู่กลางอากาศ รวมถึงควบคุมระดับความสูงเวลากระโดดได้ ส่วนท่าไม้ตายพิเศษจะกดใช้ได้เมื่อเกจพลังชีวิตตัวละครของเราอยู่ในสภาวะวิกฤตเท่านั้น และการใช้ท่าไม้ตายพิเศษจะมีโอกาส 1/1024 ที่จะปล่อยท่าเป็นเวอร์ชั่นที่แรงขึ้นได้อีก
หลังจบการต่อสู้ในแต่ละยก เกมจะมีการตัดเกรดผลงานของเราจากการสู้ยกนั้น ๆ โดยมีตั้งแต่เกรด E (ต่ำสุด) จนถึง S (สูงสุด) ซึ่งการจะปลดล็อคบอสสุดท้ายตัวจริงมาสู้กับเราได้นั้น ผู้เล่นจำเป็นจะต้องทำเกรดการต่อสู้ตั้งแต่คู่ต่อสู้คนแรกจนถึงก่อนแมตช์สุดท้ายให้ได้ Rank หรือคะแนนให้ได้ตามที่เกมกำหนดเสียก่อน
ภาคนี้จะมีตัวละครให้ใช้ได้ทั้งสิ้น 13 ตัว โดยตัวละครหน้าเก่าจากภาค Special มีอยู่ 5 ตัวได้แก่ เทอร์รี่, แอนดี้, โจ, ไม และกีส ตามมาด้วยตัวละครหน้าใหม่ 5 ตัวได้แก่ โมชิซึกิ นักพรตที่เป็นคู่อริกับสำนักของไม, บ๊อบ นักสู้คาโปเอร่าจากบราซิล, ฮอนฟู ตำรวจจากฮ่องกงที่ใช้กระบองสองท่อนเป็นอาวุธคู่กาย, บลูแมรี่ เจ้าหน้าที่พิเศษหญิงที่มาสืบเรื่องพี่น้องตระกูลจิน และฟรังโก้ นักสู้คิกบ็อกซิ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อช่วยลูกชายของตัวเองออกมาจากแก๊งอาชญากรญี่ปุ่นให้ได้
ที่เหลืออีก 3 คนคือตัวละครระดับบอสของภาคนี้ คือ ยามาซากิ อาชญากรชาวญี่ปุ่น, จินชอนชู เด็กกำพร้าชาวจีนที่กำลังตามหาคัมภีร์ของตระกูลจินอยู่ และจินชอนเรย์ พี่ชายฝาแฝดของชอนชูที่เป็นบอสสุดท้ายตัวจริง
อย่างไรก็ตาม Fatal Fury 3: Road to the Final Victory กลับมีเสียงตอบรับที่แตกเป็นสองฝั่งและคะแนนรีวิวที่ค่อนข้างเหวี่ยงครับ โดยกลุ่มที่ชอบนั้นมองว่าภาคนี้มีการปรับปรุงให้ผู้เล่นหน้าใหม่เข้าถึงง่ายขึ้น และการเล่นบนตู้อาร์เขดให้ประสบการณ์การเล่นที่ดี อีกทั้งมีการเพิ่มมิติของท่าไม้ตายของหลายตัวละครให้ประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ขณะที่แฟนเกมบางส่วนรู้สึกไม่โอเคกับการที่ภาคนี้มีตัวละครให้ใช้น้อยลง และบางตัวละครอย่างบ๊อบและฟรังโก้ดูขาดเสน่ห์ไปหน่อย
กรณีการเล่นบนเวอร์ชั่นตู้อาร์เขดนั้น การจะปลดล็อคจินชอนเรย์ (แฝดคนพี่) ให้ออกมาสู้กับเราได้ ผู้เล่นจะต้องทำคะแนน (Score) ตรงด้านบนของจอให้ถึง 1,000,000 คะแนนให้ได้ก่อนที่จะสู้กับจินชอนชู (แฝดคนน้อง) หากทำสำเร็จ หลังเอาชนะชอนชูได้ ชอนเรย์จะปรากฏตัวมาสู้กับเราเอง
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station