รีวิวเกม Two Point Museum – ก้าวที่ 3 อันไร้เทียมทานของซีรีส์

แม้ซีรีส์ Two Point จะเป็นเกมแนว Simulation ที่มีชื่อเสียงพอตัวจากผลงานก่อนหน้าอันเป็นที่รู้จักกันอย่าง Hospital และ Campus แต่ก็ต้องยอมรับว่าในเดือนที่มีเกมใหม่ๆ ออกวางจำหน่ายแบบทะลักทลายแตกแตนแบบเดือนกุมภาพันธ์นี้ มันจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่หลายๆ คนจะมองผ่านไปก่อน เพราะเกมเบอร์ใหญ่ใหม่ๆ มีมากมายเหลือเกิน ไว้ค่อยซื้อเล่นตอนลดราคาก็ยังไม่สาย

แต่ท่ามกลางมหาสมุทรสีแดงเถือกของวงการในเดือนสอง Two Point Museum อันเป็นภาคล่าสุดของซีรีส์ กลับกลายเป็นหนึ่งในม้ามืดที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้สัมผัสได้อย่างไม่ยากไม่เย็น ด้วยความเข้าใจง่ายแต่ลึกล้ำบวกอัดด้วยคอนเทนต์มโหฬารมหาศาลของตัวมัน และการนำเสนอที่สดใหม่ฉีกแนวไปจาก 2 ภาคก่อนหน้า Two Point Museum จึงไม่ใช่แค่การคัมแบ็ก แต่ยังประกาศตัวชัดว่าเป็นอีกหนึ่งเกมยอดเยี่ยมของปีนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

Two Point Museum

เนื้อเรื่อง

ด้วยความที่เป็นเกมแนว Simulation เนื้อเรื่องจึงมาแบบหลวมๆ ในโหมดแคมเปญ ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นภัณฑารักษ์รุ่นใหม่ไฟแรงกับภารกิจพลิกฟื้นชะตาพิพิธภัณฑ์ทั่วทั้งทวีปให้กลับมาเปิดใหม่และได้รับความนิยมคึกคักกันอีกครั้ง ทั้งนี้ในโหมดแคมเปญจะเสมือนกับการสอนผู้เล่นไปในตัว เพราะเกมจะไม่ทุ่มคอนเทนต์ทั้งหมดใส่ผู้เล่นแต่แรก แต่จะค่อยๆ ปลดล็อกไปเรื่อยๆ ซึ่งผู้เล่นจะได้เทียวไปเทียวมาระหว่างพิพิธภัณฑ์ 5 แห่ง รวมถึงบางครั้งจะมีอีเวนต์พิเศษที่กระทรวงวัฒนธรรมในเกมหรือคนอื่นๆ จะขอให้คุณไปช่วยดูแลนิทรรศการในพื้นที่ของพวกเขา ซึ่งก็จะเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ผู้เล่นได้อย่างดี แต่นั่นคือในส่วนของเกมเพลย์ที่เราจะไปขยายความเพิ่มอีกสักหน่อยในหัวข้อถัดๆ ไป ทว่ากับส่วนเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนอกจากนี้ และเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ส่งผลต่อความสนุกของตัวเกมนัก

Two Point Museum

กราฟิกและเพอร์ฟอร์มานซ์

เรื่องน่าเสียดายเพียงไม่กี่อย่างของเกมคือตัวเกม Two Point Museum ยังคงมีคุณภาพกราฟิกที่ไม่ค่อยต่างไปจากภาคแรกของมันอย่าง Hospital เท่าไหร่นัก แม้จะเข้าใจในการพยายามรักษาธีมและ Vibe โดยรวมของเกมไว้ แต่พอนึกว่าเกมนี้มีอายุอานามห่างจากรุ่นพี่ของมันถึง 7 ปี แล้วกลับไม่ค่อยมีอะไรต่างก็อดเสียดายหน่อยๆ ไม่ได้

อย่างไรก็ตามการแสดงผลของมันก็ไม่ได้แย่และยังไม่ได้ดูตกยุคขนาดนั้น นอกจากนี้การที่มีกราฟิกไม่ต่างจากเดิมก็ทำให้ตัวเกมมีเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ดีบนเครื่อง PC ที่สเป็คไม่สูงมาก และยังสามารถนำไปลงเครื่องคอนโซลได้ด้วย ส่วนตัวเล่น Two Point Museum ไปราวๆ 41 ชั่วโมงบน PC ยังไม่เจอปัญหาอะไรร้ายแรง ตัวเกมรันได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด เรียกว่าในด้านนี้ ถ้าไม่นับว่ากราฟิกคล้ายเดิมไปหน่อย อย่างอื่นก็จัดว่าผ่านฉลุย

Two Point Museum

เกมเพลย์

จะมีสักกี่เกมที่คุณเปิดมันเล่นไปกว่า 40 ชั่วโมงแล้วยังปลดล็อคคอนเทนต์ไม่ถึงครึ่งและรู้สึกว่าเกมยังมีเมคานิคเกมเพลย์บางอย่างซ่อนไว้อีกเพียบ Two Point Museum คือเกมนั้นครับ ตัวเกมมีจะมี 2 โหมดให้คุณเลือกเล่นคือ แคมเปญ กับ แซนด์บ็อกซ์ สำหรับผู้ที่อยากดำดิ่งกับการสร้างไม่ต้องการคำสอนบอกใบ้ หรือไม่ต้องการไปปลดล็อคคอนเทนต์อะไร และพร้อมจะจัดการกับชุดข้อมูลมหาศาลโดยไม่หวาดหวั่นกับการสร้างพิพิธภัณฑ์แบบฉบับตัวเองขึ้นจากศูนย์ โหมดแซนด์บ็อกซ์คือคำตอบของคุณแน่นอน

Two Point Museum

แต่หากไม่ใช่ เป็นมือใหม่หรือแม้กระทั่งมือเก๋าที่อยากจะทำความรู้จักกับภาคนี้แบบค่อยเป็นค่อยไป ผมแนะนำให้ลุยโหมดแคมเปญก่อนครับ เพราะก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่าโหมดนี้เหมือนผสมผสาน Tutorial เข้าไปในตัว จะมีคำแนะนำให้เสมอเมื่อปลดล็อคฟีเจอร์ใหม่ๆ รวมถึงพาผู้เล่นไปทำความรู้จักกับคอนเทนต์ของเกมอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นและไม่รู้สึกว่าข้อมูลยุบยั่บจนวุ่นวายมากเกินไป

โดยในเกมจะมีพิพิธภัณฑ์ 5 ธีมให้ผู้เล่นเข้าไปบริหารจัดการได้แก่ พิพิธภัณฑ์ยุคก่อนประวัติศาสตร์, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ, พิพิธภัณฑ์สิ่งเหนือธรรมชาติ, พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ และ พิพิธภัณฑ์อวกาศ โดยแต่ละธีมก็จะมีธีมรองหรือไอเทมจัดแสดงที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่บ้าง รวมถึงเกมเพลย์ในภาพรวมที่มีจุดร่วมคล้ายกันคือการส่งทีมสำรวจไปค้นหาของ และทำส่วนจัดแสดงให้ได้คุณภาพ ทว่าทั้ง 5 ธีมก็จะมีเมคานิคการเล่นที่ต่างกันออกไป มีความเฉพาะตัวสูง จัดการไม่เหมือนกันเสียทีเดียว อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก็มีการจัดการเรื่องแทงก์ปลาที่ต่างชนิด ต่างระบบนิเวศ, พิพิธภัณฑ์สิ่งเหนือธรรมชาติ ต้องจัดการเรื่องของอาถรรพ์หรือผีไม่ให้มารบกวนคนดู ขณะที่ พิพิธภัณฑ์อวกาศ ต้องหาอาร์ติแฟคต่างดาวมาวางให้ครบ เพื่อปลดล็อคการทำงานของอาร์ติแฟ็คชิ้นใหญ่กว่า เป็นต้น เหล่านี้ทำให้การจัดการดูแล เกมเพลย์ รวมไปถึงการจ้างพนักงานและวางผังของแต่ละพิพิธภัณฑ์มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งการที่เกมให้เราเล่นทั้ง 5 ธีมสลับกันไปมาตลอดโหมดแคมเปญนั้น นอกจากจะช่วยเรื่องการตัดเลี่ยนแล้ว มันยังถูกออกแบบมาเพื่อร้อยเรียงนำเสนอการปลดล็อคคอนเทนต์ใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี

Two Point Museum

ทั้งนี้ในการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ให้รุ่งเรืองนั้นมาอาจจะต่างกันไปในธีม แต่ก็มีกระดูกสันหลังอันเป็นคอร์เกมเพลย์อยู่ อย่างแรกคือการสำรวจซึ่งถือเป็นพาร์ทที่น่าสนใจ แม้อาจไม่ได้มีจุดให้ผู้เล่นได้คอนโทรลทีมแบบฟูลสเกล แต่ก็มีความสำคัญและลุ้นในแบบของมัน กล่าวคือในการออกสำรวจพื้นที่ คุณจะต้องเลือกบุคลากรที่ตรงสายงานไปทำ เช่นจะไปขุดกระดูกไดโนเสาร์ก็ต้องเอาผู้เชี่ยวชาญยุคก่อนประวัติศาสตร์ไป หรือจะไปหาของอาถรรพ์ก็ต้องพาผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหนือธรรมชาติไปด้วย เป็นต้น คือแรกๆ อาจจะยังไปกันเดี่ยวๆ แต่พอปลดล็อคพื้นที่อันตรายขึ้น ในบางพื้นที่สำรวจจะเริ่มรีเควสต์บุคลากรที่มากกว่า 1 คน หรือต้องการบุคลากรที่มีชุดสกิลบางอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายในพื้นที่ หากไม่มีชุดสกิลได้กล่าวคุณอาจออกสำรวจไม่ได้ หรือถ้าออกไปสำรวจได้ ก็ต้องลุ้นว่าจะโดนอะไรมั๊ย โดยจะเห็นได้ว่ามันมีความเป็น “กาชา” อยู่ในทุกการสำรวจ ไม่ว่าจะภัยที่เจอ หรือสิ่งที่ได้รับ คุณลดความเสี่ยงได้แต่ไม่อาจคอนโทรลได้ทั้งหมด เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาสนุกทีเดียว

การจัดสรรค์พื้นที่ส่วนจัดแสดงก็สำคัญในการเพิ่มค่า Buzz หรือความตื่นตาตื่นใจของผู้ชม ของแต่ละชิ้นจะมีค่า Buzz สูงสุดที่มันทำได้ ขึ้นอยู่กับการจัดวางและตกแต่ง การทำให้ของแต่ละชิ้นมีค่า Buzz สูงสุดจึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พิพิธภัณฑ์ได้รับความนิยม ขณะที่ของบางชิ้นก็จะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าต้องอยู่ใกล้สิ่งใด, บางชิ้นอาจสิ่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือบางชิ้นเช่นกระดูกไดโนเสาร์ตัวใหญ่ๆ ก็อาจต้องส่งทีมสำรวจไปหลายรอบหน่อยเพื่อรวบรวมกระดูกทุกพาร์ทเข้าด้วยกันจนกลายเป็นผลงานที่ให้ค่า Buzz สูงขึ้น

Two Point Museum

แต่แค่ค่า Buzz เต็มเหยียดก็อาจไม่ได้ส่งพิพิธภัณฑ์ให้ไปได้ไกล ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อเรตติ้งของพิพิธภัณฑ์เช่นความสะดวกสบาย, ความแออัด, ความสะอาด, อาหาร, สาธารณูปโภค, ความรวดเร็วของงานบริการ, การดูแลรักษาของ, การป้องกันสิ่งจัดโชว์สูญหายหรือถูกขโมย หรือกระทั่งการให้ข้อมูลที่ทั่วถึงแก่ผู้เยี่ยมชม เหล่านี้คือการบริหารรวมๆ ที่จะนำมาซึ่งเรตติ้งและเม็ดงานที่จะทำให้พิพิธภัณฑ์อยู่รอด โดยมันจะคาบเกี่ยวกับอีกหนึ่งพาร์ทใหญ่ที่สำคัญของเกมคือพาร์ทของบุคลากรในพิพิธภัณฑ์

ในเกมเราสามารถจ้างบุคลากรได้ 4 แบบ คือผู้เชี่ยวชาญ, พนักงานทั่วไป, ภารโรง และรปภ แต่ละตำแหน่งก็จะมีพาร์ทในการทำหน้าที่ที่ต่างกัน แต่ไม่มีส่วนไหนที่ไม่สำคัญ และในแต่ละพิพิธภัณฑ์ก็จะมีความต้องการบุคลากรแต่ละประเภทไม่เท่ากันอีก ทั้งนี้บุคลากรที่มาให้จ้างนั้นจะสุ่มค่าสถานะมาเป็นรอบๆ โดยบางคนอาจจะมีสกิลน่าสนใจติดมาด้วย แต่หากอุปนิสัยเป็นลบก็อาจจะไม่น่าจ้างสักเท่าไหร่ ต้องคอยตัดสินใจให้ดี นอกจากนี้เมื่อบุคลากรเลเวลอัปไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งก็จะเรียนสกิลเพิ่มได้ ซึ่งมันจะส่งผลต่อในหลายๆ พาร์ทของเกม พนักงานที่ไม่มีสกิลติดตัวจะเริ่มไม่มีความสำคัญต่อองค์กร แต่ในทางกลับกันพวกพนักงานที่มีสกิลแพรวพราวจะเริ่มต้องการเงินเดือนที่สูงขึ้น รวมถึงสวัสดิการที่ดีขึ้น ก็จะวนกลับไปในพาร์ทของการจัดพิพิธภัณฑ์ให้ดีเพื่อเรียกเงินสูงๆ รวมไปถึงการจัดพื้นที่สวัสดิการให้กับพนักงานก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากพนักงานไม่มีความสุขเขาก็อยากจะลาออกและเราอาจเสียคนเก่งไปตลอดกาล ดังนั้นก็ดูแลชีวิตเขาให้ดี และอย่าลืมปรับเพิ่มเงินเดือนตามความเหมาะสมด้วยล่ะ

Two Point Museum

อย่างไรก็ตามตัวเกมมีจุดยุ่งยากหรือสำหรับบางคนอาจจะนับเป็นข้อเสียอยู่บ้างเช่นว่าตัวเกมมีระบบแบ่งโซนทำงาน ซึ่งในภาพรวมคือเพิ่มความลึกของการจัดการ และทำให้งานมันโฟลวขึ้นหลายระดับ แต่ในหลายๆ ครั้งผมพบว่าพนักงานก็ซื่อตรงกับโซนงานของตัวเองเกินไปหน่อย แม้จะมีความต้องการฉุกเฉินจากอีกโซน ก็จะไม่ลงมือจัดการใดๆ แม้ว่าเราจะหยิบเจ้าตัวไปวางไว้หน้าปัญหาแล้วก็ตาม หรือกรณีเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างเกิดไฟไหม้ แต่กลับไม่มีพนักงานมาจัดการ ทั้งๆ ที่คนมีสกิลดับไฟก็อยู่แถวนั้น หยิบเจ้าตัวไปใส่ปัญหาก็ยังเฉยๆ จนต้องปล่อยให้ของชิ้นนั้นระเบิด กลายเป็นเรตติ้งพิพิธภัณฑ์ลดลงชั่วขณะอีก

นอกจากนี้ในส่วนของการสร้างอาคารนั้นไม่แน่ใจนักว่าหลายๆ คนติดปัญหาเดียวกับผมมั๊ย คือผมอยากให้เกมสร้างอาคารหรือพื้นที่ในทรงโค้งได้ด้วย คือตัวเกมแม้จะวางออบเจคได้หลายองศาหรือตัดเหลี่ยมจาก Square เป็น Grid ได้ แต่กลับขาดความโค้งมนอย่างมีนัยยะ ซึ่งมันอาจจะเป็นความตั้งใจของทีมงาน หรืออาจเป็นเพราะเอนจิ้นของเกมทำให้ไม่สามารถทำได้ แต่การไม่มีมันทำให้เรายังรู้สึกว่าเกมขาดส่วนสำคัญในบางจุดไป แม้ว่าจะมีคอนเทนต์มากมายมหาศาลอยู่แล้วก็ตาม

Two Point Museum

สรุป

หากจะพูดว่า Two Point Museum คือจุดสูงสุดของซีรีส์ Two Point ก็คงไม่ผิดนักครับ ตัวเกมมาพร้อมเอกลักษณ์ของซีรีส์ที่ยังคงมีอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะกราฟิกที่ดูไม่มีพิษภัย การเน้นอารมณ์ขันมากกว่าโทนซีเรียสจริงจัง การบริหารที่เข้าถึงง่ายแต่ซ่อนความลึกล้ำเอาไว้ แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะเกมยังมาพร้อมความสดใหม่ของธีมพิพิธภัณฑ์ที่ทั้ง แตกต่าง น่าสนใจ สนุกสนาน และชวนว้าวกับปริมาณคอนเทนต์ในราคาเกมเต็มสุดคุ้มค่าคุ้มราคาเอื้อมมือถึงกันได้ง่ายๆ และอาจจะไม่เกินจริงด้วยซ้ำไปหากจะบอกว่ามันเป็นหนึ่งในเกมบริหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด สำหรับแฟนๆ ของซีรีส์หรือเกมเมอร์สายบริหารไม่มีผิดหวังแน่นอน แต่สำหรับเกมเมอร์ทั่วๆ ไป หากอยากได้เกมที่ใช้สมองแต่ไม่เร่งรีบ ชิลๆ แต่ก็เข้มข้นในตัวเอง อ่อนล้าจากเกมโจรสลัดหรือล่าแย้ Two Point Museum เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมของคุณได้แน่นอน

Two Point Museum

VERDICT
8.5/10

Two Point Museum มีกำหนดวางขายวันที่ 5 มีนาคมนี้บน PlayStation 5, Xbox Series, PC และ Mac ครับ


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้