ณ ปัจจุบัน Naughty Dog ถือเป็นหนึ่งในค่ายเกมชั้นนำในเครือของ PlayStation Studios ที่มีเกมระดับเรือธงอย่าง Uncharted และ The Last of Us ที่เป็นที่รู้จักในหมู่เกมเมอร์ช่วงเกือบ 2 ทศวรรษหลัง แต่ว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ย้อนไปในปี 2001 คือจุดพลิกผันสำคัญที่ทางผู้ก่อตั้งสตูดิโอได้ตัดสินใจขายบริษัทให้กับ Sony หลังจากที่ได้สร้างชื่อจากการสร้างเกม Crash Bandicoot จนโด่งดังบน PS1 มาก่อนครับ
กระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้มีชาวเน็ตไปพบเห็นข้อความที่คุณ Andrew Gavin หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Naughty Dog ไปโพสต์ลงเว็บไซต์ LinkedIn โดยกล่าวถึงสถานการณ์ยากลำบากที่ทำให้เขาและผู้บริหารคนอื่น ๆ ตัดสินใจขายสตูดิโอให้ Sony ว่าช่วงปลายทศวรรษ 1990 จนถึงช่วงต้นทศวรรษ 2000 นั้น ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเกมสักเกมพุ่งสูงขึ้นมาก และยิ่งหากเป็นเกมระดับ AAA บรรดาค่ายเกมรายย่อยแทบจะจนปัญญาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมหาศาลในการทำเกมเลยด้วยซ้ำ
คุณ Gavin กล่าวเสริมว่า หากเป็นยุคปลาย 80 จนถึงช่วงต้น 90 การทำเกมทั่วไปจะใช้งบประมาณ 50,000-100,000 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น อย่างเกม Crash Bandicoot ภาคแรกที่วางขายในปี 1996 ก็ใช้งบทั้งสิ้น 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรืออย่าง Jax and Daxter ภาคแรกที่ขายในปี 2001 หลังอยู่ภายใต้สังกัด Sony ก็ใช้งบทำเกมสูงกว่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ยุคที่เกม Jak ภาค 3 วางขายในปี 2004 งบในการทำเกมระดับ AAA บางเกมก็พุ่งไปแตะระดับ 50 ล้านเหรียญกันแล้ว เรียกว่ายิ่งเวลาผ่านไป ค่าใช้จ่ายในการทำเกมก็ยิ่งสูงเป็นเงาตามตัว
อนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่ค่ายเริ่มก่อตั้งจนถึงปี 2000 ทาง Naughty Dog ใช้วิธีระดมทุนด้วยตัวเองในการทำเกมมาตลอด แต่เมื่อต้องประสบกับปัญหาค่าทำเกมพุ่งเป็นฟองสบู่แตกเช่นนี้ ก็เลยเป็นสาเหตุหลักที่ต้องเลือกขายสตูดิโอให้กับบริษัทระดับยักษ์ใหญ่ เพื่อให้มีเงินทุนมาทำเกมฟอร์มยักษ์จนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ
แปลและเรียบเรียงจาก
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station