ปัจจุบันหลาย ๆ คนคงรู้จักกับ Naughty Dog ในฐานะสตูดิโอพัฒนาเกม First-Party ในเครือ Sony ที่สร้างเกมคู่บุญแพลตฟอร์ม PlayStation อย่างซีรีส์ Uncharted และ The Last of Us มาแล้ว ทว่าทั้งหมดนี้อาจไม่เกิดขึ้นเลยหาก Sony ไม่เข้าซื้อบริษัทมาอยู่ในเครือ
โดยคุณ Andrew Gavin ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Naughty Dog ได้โพสต์บนแพลตฟอร์ม LinkedIn อธิบายสาเหตุที่ขาย Naughty Dog ให้กับ Sony โดยบอกว่าในช่วงแรก ๆ หลังก่อตั้งบริษัทในปี 1980 ค่าใช้จ่ายและงบประมาณการสร้างเกมยังพอจัดการไหวอยู่ สามารถหาเงินทุนสร้างเกมด้วยตัวเองได้ แต่ก็ต้องประหยัดในระดับหนึ่ง แล้วเอากำไรจากเกมเก่าไปโปะทำเกมถัดไปเรื่อย ๆ
คุณ Gavin ยกตัวอย่างว่าในช่วงปี 1980 งบประมาณแต่ละเกมยังคุมให้ต่ำกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐฯ ได้ แต่พอช่วงปี 1990 งบก็เริ่มบานปลายเป็นหลักแสน จนกระทั่งสร้าง Crash Bandicoot ในปี 1994 ก็ใช้งบไปถึง 1.6 ล้านเหรียญฯ และต่อมา Jak and Daxter ที่เริ่มสร้างในปี 1999 งบถึงบานปลายกลายเป็น 15 ล้านเหรียญฯ
ยิ่งพอถึงปี 2004 งบสร้างเกม AAA อย่าง Jak and Daxter 3 ก็พุ่งไปอยู่ที่ 45-50 ล้านเหรียญฯ และตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันก็ยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ การหาเงินทุนมาสร้างเกมด้วยตนเองจึงกลายเป็นความกดดันมหาศาล ซึ่งสำหรับค่ายเกมอิสระแล้วคงทำได้ยาก
ด้วยเหตุนี้คุณ Gavin จึงเห็นว่า Naughty Dog จำเป็นต้องขายให้ Sony เพื่อจะได้มีเงินทุนและทรัพยากรเพียงพอต่อการสร้างเกมที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อไป และมองด้วยว่านี่คือปัญหาเชิงระบบของวงการสร้างเกมระดับ AAA ซึ่งกระทบหลาย ๆ บริษัทในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว คุณ Gavin มองว่าการให้ Sony เข้าซื้อบริษัทช่วงปี 2001 (คาดว่าราคาในช่วงนั้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 50-200 ล้านเหรียญฯ) จึงเป็นก้าวที่ถูกต้องแล้ว และมองว่าเป็นเรื่องที่วิน-วินทั้งสองฝ่าย และ Naughty Dog ในปัจจุบันคงไม่มีทางอยู่ได้เลยถ้าไม่มี Sony
หลังจากนี้ก็คงต้องจับตามองว่าก้าวต่อไปของ Naughty Dog จะเป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเกม Intergalactic: The Heretic Prophet ซึ่งเป็นเกมที่หลายคนจับตามองว่าจะเป็นก้าวสำคัญก้าวต่อไปของค่ายนี้
แปลและเรียบเรียงจาก
Tech4Gamers
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station
