หลังจากที่ Dragon Age: The Veilguard ซึ่งเป็นเกม RPG ฟอร์มยักษ์ภาคล่าสุดในซีรีส์ Dragon Age วางขายมาได้เกือบสองเดือน แม้ว่าจะมีคะแนนจากสื่อสำนักใหญ่ ๆ ที่ค่อนข้างดีและมีผู้เล่นในช่วงวันแรก ๆ มากพอสมควร แต่ดูเหมือนเกมนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะกระแสผู้เล่นค่อนข้างเงียบเหงา ขณะที่ก็มีรายงานว่ายอดขายไม่น่าประทับใจ จึงไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าขายได้เท่าไหร่แล้ว
ทว่าปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้า Dragon Age: The Veilguard เหล่านี้ ดูเหมือนว่า คุณ Corinne Busche ผู้กำกับของเกมภาคนี้จะโทษว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกมนี้ไม่ประสบความสำเร็จดังที่ควรจะเป็น เพราะว่ามี “แคมเปญสร้างความเกลียดชัง” จากกลุ่มคนที่ไม่หวังดีแต่เสียงดังนั่นอง
โดยคุณ Busche ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Inverse ว่าสาเหตุที่มีการรีวิวบอมบ์คะแนนเกมบนเว็บไซต์ Metacritic และวาทกรรมต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย เป็นเพราะการเมืองที่แตกแยกสุดขั้วในปัจจุบันจนทำให้สังคมเกิดความขัดแย้ง ทำให้ Dragon Age: The Veilguard กลายเป็นสมรภูมิระหว่างค่านิยมทางวัฒนธรรมสองขั้วไป
ทั้งนี้ Busche อ้างว่าความหลากหลายและการมีส่วนร่วมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดในเกม หากไร้จุดนี้ไปก็จะทำให้ผู้เล่นไม่อินกับเกม จึงจำเป็นต้องเน้นตรงจุดนี้ในการสำรวจ และสร้างอัตลักษณ์ให้แก่ตัวละครต่าง ๆ
คุณ Busche ชี้ว่าการที่เกมในซีรีส์ Dragon Age มีค่านิยมหัวก้าวหน้านั้น ทำให้ “จงเป็นในสิ่งที่คุณอยากเป็น” แต่ทีมสร้างอาจจะผลักดันแนวคิดดังกล่าวมากเกินไปหน่อย จึงทำให้เกิดกระแสตีกลับอย่างรุนแรงจากกลุ่มผู้เล่นบางส่วนที่ไม่ชอบ
ปัจจุบันทาง EA และ BioWare ยังไม่มีการเปิดเผยยอดขายของเกม Dragon Age: The Veilguard อย่างเป็นทางการแม้จะผ่านมาได้เกือบสองเดือนแล้ว แต่มีรายงานว่าขายได้ประมาณ 1 ล้านชุดเท่านั้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยสำหรับเกมฟอร์มยักษ์ที่มีชื่อเสียง และคาดว่าไม่น่าจะคุ้มทุนเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการสร้างเกมระดับ AAA ในปัจจุบัน
แปลและเรียบเรียงจาก
Tech4Gamers
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station