รีวิวเกม Dragon Quest III HD-2D Remake – องค์ประกอบที่คุ้นเคยแต่แปลกใหม่ด้วยทิศทางศิลป์อันเป็นเอกลักษณ์

ก่อนอื่นคงต้องขอขอบคุณทาง Bandai Namco ตัวแทนจำหน่ายของ Square Enix ในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งเกมนี้มาให้เราเล่นเพื่อรีวิวล่วงหน้า แต่ด้วยความที่เราได้รับตัวเกมมาในช่วงเวลาที่กระชั้นชิดกับวันวางจำน่ายมาก ๆ บทความรีวิวนี้จึงไม่สามารถออกทันก่อนเกมจะวางขายได้เหมือนกับหลาย ๆ สื่อจากตะวันตกและญี่ปุ่น แต่เราก็หวังว่ามาช้าจะดีกว่าไม่มา เพราะหลังจากได้เล่น Dragon Quest III HD-2D Remake ไปตั้งแต่ต้นจนจบ และทดสอบบนหลาย ๆ แพลตฟอร์ม นี่ก็คือความเห็นของพวกเราต่อเกมนี้

เนื้อเรื่อง

ในโลกยุคกลางแฟนตาซีที่กำลังถูกจอมมาร Baramos เข้าคุกคามความสงบสุข เราในฐานะผู้กล้าทายาทของนักรบผู้แข็งแกร่ง และเพื่อนร่วมปาร์ตี้อีกสามคนที่เราสามารถเลือกหรือสร้างตัวละครได้เอง จึงต้องออกเดินทางไปขจัดภัยร้ายครั้งใหญ่นี้ให้ได้ นี่คือแก่นของเนื้อเรื่องที่จะเป็นตัวผลักดันให้เราต้องเล่นเกมนี้ไปจนจบ แน่นอนว่าพล็อตมันสุดแสนจะธรรมดาแม้จะยังไม่มองว่านี่คือเกมที่รีเมคมาจากภาคต้นฉบับเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว อีกทั้งการดำเนินเรื่องก็แทบจะเป็นสูตรคลาสสิกไปตลอดทั้งเกม คือตามเบาะแสจากเมืองนึง เพื่อไปช่วยเหลือหรือแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังเป็นปัญหาของอีกเมืองนึง จากนั้นก็จะได้อีกเบาะแสที่จะพาเราไปสู่เมืองต่อไป เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

Dragon Quest III HD-2D Remake

แต่ข้อดีก็คือเหตุการณ์ที่เป็นปมระหว่างการเดินทางล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อนและเข้าถึงได้ง่าย ไม่หยุดให้เราต้องอ่านบทสนทนา ฟังบทพูด หรือดูคัตซีนนาน ๆ จนขัดความต่อเนื่องของเกมไป ไม่ว่าจะเป็นการตามล่าโจรที่ขโมยของไปจากพระราชวัง ขนส่งวัตถุดิบหายากจากประเทศนึงไปให้อีกประเทศนึง หรือแม้แต่ช่วยเหลือดวงวิญญาณที่ไม่สามารถไปสู่สุคติได้ สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นเครื่องชี้ทางกลาย ๆ ให้ผู้เล่นไปสนใจกับสิ่งที่ตัวเกมพยายามจะนำเสนอมากกว่า นั่นก็คือสไตล์ของกราฟิก และเกมเพลย์

Dragon Quest III HD-2D Remake

กราฟิก

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของภาครีเมคนี้ก็คือสไตล์กราฟิกแบบ HD-2D ที่ต่อยอดมาจาก Octopath Traveller และอีกหลาย ๆ เกมของ Square Enix ส่งผลให้นี่เป็นหนึ่งในผลงานที่ดูดีที่สุดของเกมที่ผสมผสานระหว่างตัวละครแบบพิกเซลและฉากหลังแบบสามมิติ ไม่ใช่แค่ความละเอียดของตัวละคร หรือความสมจริงของฉาก แต่สิ่งที่ทำให้ภาพของเกมนี้โดดเด่นขึ้นมาก็คือการใส่ระยะโฟกัส และการจัดแสงของช่วงเวลาต่าง ๆ ภายในเกม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า ช่วงเย็น หรือกลางคืน ก็จะมีโทนของสีและแสงที่แตกต่างกัน

ยิ่งเมื่อรวมกับเสียงของดนตรีประกอบที่ไพเราะซึ่งจะผันไปตามสถานที่และช่วงเวลาแล้ว ก็ยิ่งทำให้การเดินทางและการเดินสำรวจกลายเป็นความรื่นรมย์ได้ไม่ยาก อีกทั้งลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามฉากอย่างฝูงนกบนพื้นที่จะออกบินเมื่อเราเดินผ่าน หรือแสงสะท้อนระยิบระยับบนผืนน้ำ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ให้กับตัวเกมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

Dragon Quest III HD-2D Remake

ในขณะที่การเผยให้เห็นพื้นที่ทั้งหมดของแต่ละดันเจี้ยนบนแผนที่ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าไปจะช่วยให้เราวางแผนเส้นทางได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับภาคต้นฉบับและภาครีเมคครั้งก่อน ๆ แต่ข้อเสียก็คือมันลดทอนความตื่นเต้นในการสำรวจดันเจี้ยนไปพอสมควร ดังนั้นหากตัวเกมจะมีทางเลือกให้ผู้เล่นได้ตัดสินใจตามความชอบของแต่ละคน ว่าจะให้เปิดแผนที่ให้โดยอัตโนมัติ หรือให้มีหมอกบังแผนที่ไว้ก่อนแล้วค่อยคลายหลังผู้เล่นเดินเข้าไปบริเวณนั้น ๆ เองก็คงจะดีกว่านี้ เหมือนกับที่ตัวเกมให้เราเลือกได้ว่าจะเฉลยหรือไม่เฉลยตำแหน่งของ Objective บนแผนที่ได้ตั้งแต่เริ่มเกม

Dragon Quest III HD-2D Remake

การรีเมคครั้งนี้ ทีมพัฒนาได้ใส่ระบบ AI เข้าไปให้กับตัวละครของเราในฉากต่อสู้เหมือนกับในหลายภาคหลัง ๆ ของ Dragon Quest แล้ว แม้ว่าเราจะไม่สามารถตั้งโปรแกรมพฤติกรรมในการต่อสู้ได้ละเอียดเหมือนอย่างระบบ Gambit ของ Final Fantasy XII เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว แต่ตัวเลือก AI แต่ละรูปแบบของเกมนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เราผ่านฉากต่อสู้ทั่ว ๆ ไปได้อย่างไม่ยากเย็น

เพราะเนื้อเรื่องของตัวเกมจะนำให้เราไปยังเส้นทางที่ศัตรูจะค่อย ๆ เก่งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แทบไม่มีช่วงไหนที่เรารู้สึกว่าต้องมานั่งฟาร์มเลเวลกันเป็นชั่วโมง ๆ เพื่อที่จะไปต่อ เว้นแต่จะไปเจอกับศัตรูระดับบอสในเลเวลที่ใกล้เคียงกันที่การเลือกใส่คำสั่งด้วยตัวเองมักจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการใช้ระบบอัตโนมัติ เพราะบางทีตัวละครที่เราตั้งให้เป็น AI แบบ Healer ก็แทบไม่สำรอง MP ไว้เติมเลือดให้เพื่อนเลย จะรอแต่เลือดใครน้อยก็ค่อยไปฮีลเอาดาบหน้าเท่านั้น อะไรแบบนี้เป็นต้น

Dragon Quest III HD-2D Remake

ระบบการต่อสู้

แต่สิ่งที่ดีที่สุดของระบบต่อสู้ในภาคนี้ก็คือ เราจะสามารถปรับความเร็วได้ถึงสามระดับ คือปกติ เร็ว และเร็วมาก เมื่อรวมเข้ากับความสามารถในการตั้ง AI ให้กับทุกตัวละครในปาร์ตี้ได้ การเดินทางบน World Map แล้วต้องเจอศัตรูแบบสุ่มโดยไม่เห็นตัว ก็ทำให้เกมมีความน่าเบื่อน้อยลงไประดับนึง หรือในอีกมุมนึง การเก็บเลเวลสำหรับโหมดยากก็จะทั้งสนุกและเร็วขึ้นไปในตัว ส่วนโหมดง่ายนั้นก็ง่ายแบบสุด ๆ เพราะไม่ว่าศัตรูจะเก่งแค่ไหน แต่ปาร์ตี้ของเราก็จะไม่มีวันตาย ยังไงเลือดของทุกตัวละครในปาร์ตี้ของเราก็จะไม่ลดต่ำไปกว่า 1 เสมอ

จริงอยู่ที่มันอาจทำให้คุณพลาดความสนุกในการวางแผนการสู้แบบเทิร์นเบสไป แต่การมีทางเลือกให้คนที่มีข้อจำกัดหรือคนที่แค่อยากเล่นเกมนี้เพียงเพราะเนื้อเรื่องและบรรยากาศก็นับว่าดีไม่ใช่น้อย ใครอยากเล่นแบบปกติหรือโหมดยากก็ปรับเองได้เลยตลอดเวลา

Dragon Quest III HD-2D Remake

อีกด้านที่น่าชื่นชมของภาคนี้ก็คือการพยายามทำให้เกมเป็นมิตรกับผู้เล่นมากขึ้น อย่างระบบชี้จุดบนแผนที่ที่เราได้กล่าวไปในข้างต้น ปุ่มเดินเร็วที่ปรับได้ทั้งให้กดค้างหรือกดทีเดียว และระบบจดจำคำพูดของ NPC ที่ดูเหมือนจะเป็นเบาะแสสำคัญหรือเป็นคำบอกใบ้เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ซึ่งแม้บางจุดจะกลายเป็นทำให้เกมง่ายลง หากก็ยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้เกมเล่นได้สะดวกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าตัวเกมจะไม่สามารถแบ่งสัดส่วนของการอนุรักษ์เพื่อคงต้นฉบับ และการดัดแปลงสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้ทันสมัยได้ลงตัวเท่าใดนัก ทำให้การนำเสนอในด้านนี้ดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปบ้าง อย่างเช่นการใช้เวทวาร์ปไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ MP อีกต่อไปแล้ว ทำให้เวท Zoom ทำหน้าที่เหมือนเป็นระบบ Fast Travel ในเกมยุคปัจจุบัน แต่เราก็ยังต้องมากดเลือกชื่อเมืองที่จะไปผ่านเมนูหลาย ๆ หน้า แทนที่จะเลื่อนเคอร์เซอร์ไปจิ้มเมืองบนแผนที่ได้เลย

Dragon Quest III HD-2D Remake

หรือการที่โชว์ไอคอนประเภทของสิ่งของนำหน้าชื่อให้จำแนกด้วยสายตาได้ง่ายขึ้น แต่กว่าจะย้ายของจากตัวละคร จากกระเป๋า หรือซื้อขายของ เราก็ต้องมากดทำรายการทีละชิ้น หรือทีละกลุ่มแบบเก่าอยู่ดี ในขณะที่หลาย ๆ เกม RPG แบบเทิร์นเบสต่างพยายามลดทอนความยุ่งยากหรือความน่าเบื่อให้กับเกมแนวนี้ และสามารถทำได้ดี Dragon Quest III เวอร์ชั่นนี้กลับเหมือนคนที่เพิ่งเดินมาได้ราวครึ่งทางของจุดหมายไปอย่างน่าเสียดาย

Dragon Quest III HD-2D Remake

เพลงประกอบ

นอกจากเพลงโหมโรงที่มีให้ได้ยินอยู่ใน Dragon Quest ทุก ๆ ภาคแล้ว Dragon Quest III นับว่าเป็นหนึ่งในเกมภาคที่เพลงประกอบมีเอกลักษณ์และติดหูมากที่สุดภาคหนึ่งของซีรีส์ และด้วยการใส่เพลงเหล่านั้นมาแบบออร์เคสตราเต็มวงก็ยิ่งทำให้ Soundtrack ของภาคนี้ถูกถ่ายทอดมาได้อย่างใกล้เคียงกับวิสัยทัศน์ของคุณ Koichi Sugiyama นักประพันธ์ผู้ล่วงลับได้มากที่สุดด้วย ในขณะที่เสียงประกอบตามฉากหรือการต่อสู้ก็จะยังคงเอกลักษณ์ของเกมต้นฉบับเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน และอีกสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาในแง่ของเสียงก็คือการพากย์ในฉากสำคัญ ๆ ของเนื้อเรื่อง ซึ่งแม้จะมีให้ได้ยินไม่บ่อย แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาแล้วช่วยสร้างอรรถรสให้กับเกมได้มากขึ้นเป็นอย่างดี

Dragon Quest III HD-2D Remake

บทสรุปส่งท้าย

โดยรวมแล้วเราสามารถเรียกภาค HD-2D Remake นี้ได้ว่าเป็น Dragon Quest III เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในตอนนี้ ซึ่งจากการเล่นทั้งบน PlayStation 5, Nintendo Switch, และ PC เราไม่พบบั๊กหรือข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งในเวอร์ชั่น 1.0 ก่อนวันออก และ 1.1 หลังเกมวางขาย สำหรับคนที่รักซีรีส์นี้ และโดยเฉพาะภาคนี้ แค่เห็นภาพจากเทรลเลอร์เปิดตัวเมื่อสามปีก่อนก็ทำให้เราแทบอยากจะเล่นมันในทันทีตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว อีกทัั้งการได้เห็นหลาย ๆ องค์ประกอบที่คุ้นเคยแต่แปลกใหม่ด้วยทิศทางศิลป์อันเป็นเอกลักษณ์ก็ทำให้เราเป็นปลื้มได้ในแบบที่เกมใหม่เกมไหน ๆ ก็ทำไม่ได้

Dragon Quest III HD-2D Remake

และเราเชื่อว่าต่อให้ตัวเกมแทบไม่มีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกใด ๆ เพิ่มเข้ามา ลำพังแค่กราฟิกแบบ HD-2D ก็อาจทำให้แฟน ๆ หลายคนพึงพอใจกับเวอร์ชั่นนี้เป็นอย่างมากแล้ว แต่ด้วยความที่บทความนี้เป็นบทความรีวิว แนวทางของเราคือมองไปถึงสิ่งที่ตัวเกมพยายามจะนำเสนอ และวิจารณ์ในฐานะสื่ออย่างตรงไปตรงมา ซึ่งด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมานี้ Dragon Quest III HD-2D Remake จึงได้คะแนนจากพวกเราไปที่ 8.5 คะแนน

VERDICT
8.5/10

Dragon Quest III HD-2D Remake วางจำหน่ายแล้ว บน PC และคอนโซล เพื่อน ๆ ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://dragonquest.square-enix-games.com


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้