รีวิว PS5 Pro – เครื่องเกมสเปคสูงสุดในปัจจุบัน คุ้มค่าหรือไม่ มาดูกัน!

Pro

หลังจากที่ God Ekk ประธานเงาของ Sony มาเจิมแกะกล่องเครื่อง PlayStation 5 Pro (หรือ PS5 Pro) เป็นศิริมงคลให้ทุกคนได้ชมเป็นน้ำจิ้มกันไปเมื่อวันก่อน ทีมงาน Online Station อีกหลายคนก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกันเล่นและทดสอบเครื่อง PS5 Pro ในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ในสัปดาห์ก่อน ถึงขนาดที่พี่หมื่น ตากล้องของเราก็ยังมาช่วยทดสอบ EA Sports FC 25 อย่างสนุกสนานในเวลางา… อย่างขยันขันแข็งเพื่อผู้ชมทุกคน

อย่างไรก็ตาม เราคงไม่ได้มาเปรียบเทียบแบบละเอียดยิบแบบเฟรมต่อเฟรมเหมือนอย่างสื่อดังอย่าง Digital Foundry เขาทำนะครับ แต่เราจะมาพูดถึงความรู้สึกและมุมมองต่าง ๆ หลังจากที่ได้ใช้งานเครื่องตัวนี้ทั้งกับเกมของ PS5 ที่มีแพตช์สำหรับเครื่อง Pro โดยเฉพาะ และเกมที่ยังไม่มีแพตช์อัปเกรด รวมถึงเกมเนทีฟของเครื่อง PS4 ที่ไม่ใช่ภาครีมาสเตอร์ใด ๆ กันในบทความนี้เลย


คุ้มมั้ยที่จะเปย์ กับ PS5 Pro

เริ่มจากในแง่ของสเป็ก นอกจากข้อมูลโดยรวมที่ Sony เคยออกมาเปิดเผยด้วยตัวเองแล้ว สิ่งที่เราทราบเพิ่มเติมก็คือ ในขณะที่ CPU ของ PS5 Pro จะยังคงเป็นตัวเดิมกับที่ใช้ในเครื่องรุ่นดั้งเดิมและรุ่น Slim แต่ GPU จะเป็นองค์ประกอบที่ได้รับการอัปเกรดขึ้นมาเป็น 16 Teraflops จากเดิม 10 Teraflops ด้วยขุมพลัง RDNA จาก AMD ที่เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นรุ่น 3 อัปเกรด หรือรุ่น 4 ที่ถูกดัดแปลงมาโดยเฉพาะ แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ใช่ RDNA 2 เหมือน GPU ของรุ่นปกติแน่นอน รวมถึงการรองรับ PSSR หรือเทคโนโลยีอัปสเกลด้วย AI คล้าย ๆ กับที่ Nvidia มี DLSS หรือ AMD มี FSR อีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือ RAM DDR5 2GB จากเดิมที่มีแต่ GDDR6 16GB และสเป็กในส่วนต่าง ๆ ก็จะเป็นไปตามที่ทุกคนเห็นกันอยู่บนหน้าจอในตอนนี้ แต่เราคงต้องขอพักเรื่องสเป็กบนหน้ากระดาษไว้เพียงเท่านี้ เพราะหลังจากนี้ เราจะมาพูดถึงประสบการณ์หลังจากที่ได้ลองเครื่องกับหลาย ๆ เกม โดยเฉพาะเกมที่หลายคนขอให้เราทดสอบกันเป็นอันดับแรก นั่นก็คือ Monster Hunter Wilds ครับ

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า Monster Hunter Wilds ที่เราทดสอบกับ PS5 Pro นี้ เป็นเวอร์ชั่นเบต้าที่เปิดทดสอบไปเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หมายความว่าตัวเกมยังไม่มีแพตช์อัปเกรดสำหรับ PS5 Pro โดยเฉพาะ แต่จากการเล่นทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีแพตช์ทำให้เราทราบว่า การเล่นในโหมดกราฟิกแบบ Prioritize Resolution ที่เน้นความละเอียดแต่เฟรมเรตจะอยู่ที่ประมาณ 30 เฟรมต่อวินาทีบน PS5 รุ่นปกตินั้น การเล่นโหมดนี้บน PS5 Pro ก็ดูเหมือนจะได้ภาพที่เนียนตากว่าเล็กน้อย แต่ที่ต่างอย่างรู้สึกได้ก็คือ เฟรมเรตของโหมดนี้มันสูงกว่า 30 เฟรมแทบจะตลอดเวลา และสูงขึ้นไปอีกเมื่อเราไปอยู่ตรงบริเวณที่ไม่มีวัตถุหรือเอฟเฟกต์หนัก ๆ พอเล่นเน้นความละเอียดกันไปจนหนำใจแล้ว เราก็ลองเปลี่ยนมาเล่นโหมด Prioritize Framerate ดูบ้าง แน่นอนว่าการยอมลดความละเอียดของภาพลงไป ก็จะได้เฟรมเรตที่สูงขึ้นกลับมาแทน โหมดนี้บน PS5 รุ่นปกติจะมีเฟรมเรตเฉลี่ยอยู่ที่ราว 40 เฟรมต่อวินาที แต่บน PS5 Pro เรารู้สึกว่ามันสูงกว่านั้น และที่สำคัญคือเฟรมเรตมันคงที่อยู่ในระดับนั้นแทบจะตลอดเวลาเลยด้วย

มุมมองที่เราได้มาหลังจากที่เล่นทั้งสองโหมดของ Monster Hunter Wilds เวอร์ชั่นเบต้านี้สลับกันไปมาก็คือ พอได้เห็นภาพความละเอียดที่สูงกว่า แถมเฟรมเรตก็ยังมากกว่าเดิมแบบนี้ เราแทบไม่อยากกลับไปเล่นโหมดเน้นเฟรมเรตบน PS5 รุ่นปกติเลย แม้ส่วนตัวทีมงานหลายคนจะเป็นคนที่เลือกเฟรมเรตมากกว่าความละเอียดก็ตาม เพราะยังไงเฟรมเรตในโหมดเน้นความละเอียดบน PS5 Pro มันก็เนียนตาอยู่ในระดับที่ยอมรับได้เมื่อเทียบกับ 30 เฟรมบน PS5 รุ่นปกติ แต่ก็ต้องย้ำกันตรงนี้อีกทีว่า Monster Hunter Wilds ที่เราใช้ทดสอบกับ PS5 Pro นี้เป็นแค่เวอร์ชั่นเบต้าที่ยังไม่มีแพตช์รองรับโดยเฉพาะ

ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่า เมื่อ Capcom ออกมายืนยันว่าตัวเกมจะรองรับ PSSR เมื่อไหร่ เราก็น่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีกว่านี้ทั้งในแง่ของความละเอียดและเฟรมเรต เพราะจากที่ทดสอบกับอีกเกมของ Capcom ซึ่งพัฒนาด้วย RE Engine เช่นเดียวกับเกมนี้อย่าง Dragon’s Dogma 2 ซึ่งมีแพตช์รองรับ PS5 Pro โดยเฉพาะออกมาให้อัปเดตแล้ว เราพบว่าจากที่การเปิด Ray Tracing บนเครื่องรุ่นปกติจะทำให้เฟรมเรตของเกมถูกจำกัดอยู่ที่ราว 30 เฟรมต่อวินาที พอเราเลือกโหมด Prioritize Graphics ด้วย PSSR บน PS5 Pro ที่ทั้งเน้นความละเอียดของภาพพร้อมกับเปิด Ray Tracing เพื่อการแสดงผลของแสงเงาที่สมจริง เฟรมเรตของเกมก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ 30 เฟรมเหมือนเคย แถมเมื่อปรับไปที่โหมด Prioritize Performance พร้อมกับเปิด Ray Tracing ตัวเกมก็รันที่ 60 เฟรมได้อย่างละมุนสายตาขึ้นมากเลยทีเดียว

สำหรับใครที่กำลังรอ Bloodborne เวอร์ชั่นรีเมคหรือรีมาสเตอร์ เรามีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายที่ต้องบอกกันก่อน เริ่มที่ข่าวร้ายกันเลย นั่นก็คือ PS5 Pro ก็จะไม่ช่วยให้คุณสามารถเล่นหนึ่งในเกมแนว Soulslike ที่ดีที่สุดเกมนี้แบบ 60 เฟรมต่อวินาทีบนเครื่องคอนโซลได้อยู่ดี แต่ข่าวดีก็คือ PS5 Pro จะมีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า “Enhance Image Quality for PS4 Games” หรือที่เมนูภาษาไทยจะเรียกว่า “เพิ่มคุณภาพรูปสำหรับเกม PS4” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่จะทำให้การเล่นเกม PS4 บน PS5 Pro กับทีวีที่มีความละเอียดสูงกว่า Full HD มีภาพจากเกมที่คมชัดยิ่งขึ้น แต่จากการมองด้วยตาเปล่า เรารู้สึกว่าความคมชัดที่เพิ่มขึ้นมันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คงไม่สามารถให้ประสบการณ์ใหม่กับการเล่นเกม PS4 แบบเดิม ๆ ได้ แต่ยังไงก็ตาม นี่คงเป็นสิ่งที่ใกล้เคียง Bloodborne รีมาสเตอร์บน PlayStation ที่สุดแล้วในตอนนี้

ในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอก เราคงไม่มาตัดสินว่าเครื่องรุ่นไหนมันดูดีที่สุด เพราะเราเชื่อว่าหลายคนก็คงจะมีคำตอบของตัวเองอยู่ในใจหลังจากที่ได้เห็นเครื่องทั้งสามรุ่นถูกวางเรียงกันแบบนี้ แต่สิ่งที่เรายืนยันได้ก็คือ ในขณะที่แผ่น Cover ด้านล่างของเครื่องรุ่น Slim และรุ่น Pro จะสามารถสลับใช้ร่วมกันได้ แต่ Cover ด้านบนดันใช้ด้วยกันไม่ได้ซะงั้น ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบว่าอะไรดลใจให้ Sony ออกแบบตัวล็อก Cover ของรุ่น Pro มาให้ไม่เหมือนชาวบ้านแบบนี้ แต่สิ่งที่เครื่องรุ่น Slim และ Pro จะใช้เหมือนกันได้ก็คือ Disc Drive ที่มีขายแยกในราคา 3,790 บาท หรือถ้าใครมีเครื่องรุ่น Slim แบบมีช่องใส่แผ่นอยู่แล้ว จะถอดมันมาใส่กับเครื่องรุ่น Pro โดย Register ไดรฟ์เดิมกับเครื่องใหม่ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกับที่การถอดไดรฟ์จาก Slim เครื่องหนึ่งไปใส่อีกเครื่องหนึ่งก็เคยทำได้มาแล้วตัั้งแต่ก่อนหน้านี้

สุดท้ายนี้แม้ด้วยประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ จะทำให้การเล่นเกมบน PS5 Pro ดีกว่า PS5 รุ่นปกติในทุก ๆ ด้าน แต่ด้วยราคาที่สูงถึง 29,490 บาทโดยที่ยังไม่มี Disc Drive ติดมาให้ เรารู้สึกว่ามันกลับยิ่งทำให้เครื่องรุ่นปกติแบบมีช่องใส่แผ่นในราคา 18,690 และแบบดิจิทัลในราคา 15,690 ดูจะเป็นทางเลือกที่สบายกระเป๋ากว่ากันเยอะ (ซึ่งตอนนี้กำลังมีโปรโมชั่น 11.11 ที่ลดราคา PS5 รุ่นสลิม แบบมีช่องใส่แผ่น เหลือ 15,890 บาท ส่วน PS5 รุ่นสลิม แบบดิจิทัล เหลือ 12,890 บาท จนถึง 14 พฤศจิกายน 2024 เพื่อน ๆ สามารถติดตามโปรโมชั่นได้ที่ลิงค์ https://www.online-station.net/pc-console-game/883761/)

สำหรับใครที่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ เพราะถึงยังไงเกมของ PS5 ทั้งในอดีตและอนาคตก็จะสามารถเล่นบนเครื่องรุ่นปกติได้ทุกเกมอยู่แล้ว แต่คุณอาจจะต้องเลือกว่าจะปรับแบบเน้นความละเอียดหรือเน้นเฟรมเรต แต่สำหรับใครที่อยากจะเป็นสักขีพยานกับประสบการณ์การเล่นเกม PS5 แบบไฮเอนด์ ส่วนต่างกว่า 10,000 บาทก็จะเป็นกำแพงที่คุณต้องตัดสินใจว่าจะทลายมันไปดีหรือไม่ แต่กำแพงราคานี้ God Ekk ของเราก็บอกว่า เป่าเบา ๆ ทีเดียวก็ปลิวแล้ว… ส่วนกรณีของเพื่อน ๆ ก็ขอให้ตัดสินใจโดยพิจารณาจากงบและความพึงพอใจของแต่ละคนละกันครับ

หากใครอยากชมรีวิวแบบคลิป สามารถดูที่รายการสารานุเกมด้านล่างได้เลย


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้