รีวิวเกม Avatar: Frontiers of Pandora – การเล่าเรื่องล้าหลังฉุดรั้งเกมอย่างน่าเสียดาย

ตอนที่ได้ทดลองเล่น Avatar: Frontiers of Pandora แบบ Remote Play ไปเมื่อหลายเดือนก่อนผมคิดอยู่ในใจหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการได้เล่นเป็นชาวนาวีมันจะทำให้เราอินไหม กราฟิกมันจะดีขึ้นกว่านี้รึเปล่า หรือมันจะโดนแซวว่าเป็น Far Cry Primal 2.0 มั๊ย แม้จะรู้สึกไปในเชิงบวก ณ ขณะนั้น แต่ในภาพรวมมันยังไม่ได้ว้าวอะไร จนอดเป็นห่วงไม่ได้

Avatar

หลังจากได้เล่นตัวเต็ม ข่าวดีก็คือนี่คือหนึ่งในเกมที่กราฟิกอลังการที่สุดในปัจจุบัน โลกแพนดอร่านั้นงดงาม มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยการอัดเทคโนโลยีกราฟิกใหม่ๆ เข้ามาเต็มไปหมด ขณะที่เกมก็เหมือนจะรู้ตัวว่าคงโดนเอาไปเทียบกับ Far Cry แน่ๆ จึงพยายามฉีกตัวเองออกมาจนเรารู้สึกได้ว่า โอเคไม่เหมือนแล้วล่ะ ความพยายามคุณสัมฤทธิ์แล้ว เรียกได้ว่า Avatar: Frontiers of Pandora พยายามจะเป็นเกมที่สลัดภาพของวลี “ก็เกมยูบิซอฟต์อ่ะ ออกไปให้ได้มากที่สุด มันเป็นงานที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความพยายามคิดใหม่ทำใหม่ แต่กลับมาตายในเรื่องใหญ่เพราะความเป็น Open World ที่ธรรมดาเกินไป และการเล่าเรื่องสุดโบราณจนมันฉุดรั้งให้เกมไม่สามารถมอบความสนุกได้เต็มศักยภาพนัก

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องของ Avatar: Frontiers of Pandora นั้นจะมีความคาบเกี่ยวกันกับตัวภาพยนตร์ครับ โดยช่วงแรกเราจะได้เห็นตัวเราเองในวัยเด็กที่โตมากับเพื่อนๆ ในโครงการ TAP (The Ambassador Program) ซึ่งเป็นโปรเจกต์เชิงการฑูตของมนุษย์ โดยเป็นเหตุการณ์ 8 ปีก่อนการกบฎของ เจค ซัลลีย์ (ภาพยนตร์ภาคแรก) ทว่ากว่าเราจะได้เล่นจริงๆ ก็เป็นหลังจากการกบฎของ เจค ซัลลีย์ผ่านไปไม่นาน

คอนฟลิคของเนื้อเรื่องในภาพใหญ่คือการต่อสู้กับมนุษย์ของชาวนาวี ขณะที่ตัวเราเองก็ต้องเผชิญกับความเป็นคนแปลกหน้ากับชาวนาวีท้องถิ่น และความพยายามจะใช้ชีวิตแบบชาวนาวีดั้งเดิมทั้งๆ ที่เติบโตมาในแบบมนุษย์ พร้อมสถานะติดตัวสุดพิเศษกับการเป็นเผ่า Sarentu ชนเผ่าในตำนานคนสุดท้ายที่เหลือรอดในยุคนี้

Avatar

ที่จริงแล้ว Avatar: Frontiers of Pandora เป็นเกมที่มีเซ็ตติ้งค่อนข้างแข็งแรง มี Lore ที่ทำความเข้าใจได้ง่าย มีภาพจำและเหตุการณ์ต่างๆ ที่สามารถผูกเข้ากับตัวภาพยนตร์ได้อย่างไม่ขัดเขิน และเส้นเรื่องหลักของมันก็ดูดีเอาเรื่อง ส่วนตัวค่อนข้างเอนจอยกับการตามเนื้อเรื่องหลักของเกม เพียงแต่วิธีเล่าเรื่องของเกมนั้นแม้มันอาจไม่มีปัญหามากนักแต่ก็โบราณจนขัดอารมณ์ในหลายๆ ครั้ง

เพราะในยุคที่เกมเน้นเล่าเรื่องแบบอินเตอร์แอคทีฟเป็นเรื่องสามัญไปแล้ว เกมนี้กลับให้น้ำหนักกับคัตซีนมากจนเกินความจำเป็น แน่นอนว่าบางเหตุการณ์การใช้คัตซีนเล่าจะช่วยเร้าประสบการณ์การเล่นได้ หลายๆ เกมก็ยังใช้อยู่ แต่คือเกมเจ๋งๆ มักจะใช้ตรงนี้ได้ถูกที่ถูกเวลา ทว่า Avatar: Frontiers of Pandora กลับใช้มันอย่างถี่ยิบ คุยกับ NPC ก็ตัดเข้าคัตซีน วิ่งถึงจุดหมายก็ตัดเข้าคัตซีน มีเหตุการณ์แทรกก็ตัดเข้าคัตซีน คุยกับตัวประกอบก็ยังตัดเข้าคัตซีน! คือมันเยอะเกินไปจนลดทอนความต่อเนื่องที่ควรได้รับไปเยอะมาก สำหรับผมนี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมัน

Avatar

เสียง

พอเป็นโลกสมมติเราเลยได้เห็นทีมพัฒนาครีเอตเสียงต่างๆ กันสนุกเลย ไม่ว่าจะพืชพรรณหรือเสียงของสัตว์ต่างๆ บนโลกแพนดอร่า ซึ่งบางชนิดก็ไม่เคยปรากฎตัวในหนังมาก่อน ขณะที่ชาวนาวีเอง แม้จะคุยกันด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลักเพื่อความเข้าใจของผู้เล่น แต่ก็มีการใส่การทำเสียงแปลกๆ ของพวกเขารวมถึงการพูดภาษาเฉพาะเข้ามาในเกมด้วย ทำให้เราเห็นได้ถึงความใส่ใจของทีมงานและทีมพากย์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำได้ดีเลยครับ

กราฟิก

หนึ่งในสิ่งที่ Avatar: Frontiers of Pandora โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นกราฟิกนี่แหละ เรื่องแลนด์สเคปนั้นเชื่อขนมกินยูบิซอฟต์ได้อยู่แล้ว แพนดอร่าในเกมนั้นกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยชีวิตชีวาจากพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ รวมไปถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ที่ช่วยเสริมให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมแพนดอร่าจึงพิเศษ

ขณะที่โมเดลของชาวนาวีและมนุษย์ก็ทำได้ดี โดยเฉพาะชาวนาวีที่มีการแสดงสีหน้าอย่างยอดเยี่ยม เราสามารถรับรู้อารมณ์ในเวลานั้นได้อย่างชัดเจน แต่คงเพราะมันเป็นเกมที่ชาวนาวีเด่นนี่แหละ ที่ทำให้มันมีข้อสังเกตตามมา เพราะในเกมมันดูจะมีลักษณะหน้าตาของชาวนาวีอยู่เยอะพอสมควร แต่เรากลับแยกไม่ค่อยว่านี่ใครหรือว่าหมอนี่ใคร เราเคยเจอกันมั๊ย ช่วยเหลือกันมาก่อนรึเปล่า คือถ้าไม่ใช่ตัวละครที่แต่งตัวโดดเด่นกว่าชาวบ้าน เราก็แทบจำหน้าพวกเขาไม่ได้เลย พอมาประกอบกับชื่อที่ก็ค่อนข้างจำยากมันยิ่งไปกันใหญ่ ไม่เหมือนตัวละครมนุษย์ที่แม้จะโผล่น้อยกว่าทว่าเราสามารถแยกออกได้ทันทีว่าใครเป็นใคร ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะความเคยชิน แต่หน้าตาชาวนาวีก็แยกออกค่อนข้างยากจริงๆ นะ และมันส่งผลต่ออรรถรสในการเล่นพอสมควรเลย

Avatar

เกมเพลย์

เกมเพลย์ของ Avatar: Frontiers of Pandora นั้นแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบหรือแปลกใหม่อะไร แต่มันก็มีเรื่องที่น่าชื่นชมทีมพัฒนาอยู่ไม่น้อยครับ อย่างแรกคือการเลือกมุมมองแบบ FPS มาใช้ในเกม เพราะมันทำให้เราเห็นความเป็นไปของโลกแพนดอร่าผ่านมุมสายตาแบบชาวนาวี ซึ่งมีความพิเศษประมาณหนึ่ง เช่นมนุษย์ที่ตัวเล็กกว่า จึงต้องขึ้นหุ่นยนต์เพื่อความสมน้ำสมเนื้อ หรือเวลาขึ้นไปที่สูงๆ แล้วมองลงมาก็คือหวาดเสียวจัดครับ เรียกได้ว่าแม้จะเป็น FPS แต่ให้ความรู้สึกต่างจากเกมอื่นประมาณหนึ่ง

อีกเรื่องที่อยากชื่นชมคือการพยายามปรับเปลี่ยนหลายๆ อย่างไม่ให้มันดูเป็นเกมยูบิซอฟต์มากนัก เช่นว่าไม่มีการปีนเสาเปิดแผนที่ มีแค่จุดให้ Fast Travel ที่แค่เดินเจอก็เปิดใช้แล้ว หรือการลดการใบ้ลงเพื่อให้ผู้เล่นได้ออกสำรวจสิ่งต่างๆ มากขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการออกแบบ UI แบบใหม่ที่เน้นความมินิมอลไปเลย โล่งแบบไม่รกหูรกตา บางครั้งก็เหลือแค่ตัวละครกับทิวทัศน์เท่านั้น ทำให้สามารถเสพย์บรรยากาศในเกมได้อย่างเต็มตามากขึ้น จุดนี้ถือเป็นการลบคำสบประมาทเรื่อง UI สุดรกของเกมจากค่ายได้เป็นอย่างดี

Avatar

แต่ในความพยายามเปลี่ยนแปลง หลายๆ เรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียดายที่เกมทำไม่ถึง มีทั้งเรื่องที่คิดเยอะและคิดน้อยเกินไป เช่นเกมเพลย์ที่เหมือนจะครบครัน มีบู๊ มีล่าสัตว์ มีขี่นก มีสืบสวน มีพัซเซิล แต่ดันทำไม่ค่อยลึกสักอย่าง เหมือนไม่อยากให้ตัวเกมมันซับซ้อนเกินไป หลายๆ อย่างมันจึงดูเป็นรระบบที่ผิวๆ มาก ถึงแม้จะเล่นได้สนุก แต่เกมเมอร์จำนวนมากก็คาดหวังอะไรที่มีลูกเล่นกว่านี้

แถมโลกของเกม Open World ในยุคหลังจาก Elden Ring นั้นก็ชัดเจนว่าเกมเมอร์ต้องการอะไรที่มันไม่ซ้ำซาก เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ มีกิจกรรมหลากหลายในระดับที่พอดีไม่ชวนให้เหงา ซึ่งเกมในปีนี้อย่าง Spider – Man 2 ก็สอบผ่านไปแล้วอย่างดี แต่กับ Avatar: Frontiers of Pandora นั้นแม้โลกในเกมจะมีชีวิตชีวา แต่กิจกรรมกลับไม่ได้เยอะขนาดนั้น หลายๆ ครั้งต้องวิ่งจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง โดยที่รอบข้างนั้นมีเพียงป่าและพันธุ์ไม้ กับถ้ำโล่งๆ ที่มีของนิดหน่อย โอเคว่าอาจจะมีโรงงานมนุษย์ให้ถล่มเล่นอยู่หลายจุดระหว่างทาง แต่มันก็ไม่หลากหลายพอจะกระตุ้นผู้เล่นให้ได้อยากสำรวจ แถมรางวัลที่ได้ก็ไม่คุ้มสักเท่าไหร่ ความรู้สึกอยากรีบๆ เล่นเนื้อเรื่องหลักให้จบเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่ผมเองมักจะเป็นสายเกมไซด์เควสต์ให้เรียบก่อนลุยเนื้อเรื่องหลักด้วยซ้ำไป

มันชัดเจนเลยว่าฟีเจอร์ Open World ของเกมยังไม่อาจทำให้ผู้เล่นพึงใจได้ เกมก่อนๆ ยังทำได้ดีกว่านี้ด้วยซ้ำ ได้แต่หวังว่าทีมพัฒนาจะเก็บฟีตแบ็คนี้เป็นบทเรียนสำหรับงานใหญ่ชิ้นถัดไปอย่าง Star Wars Outlaw ครับ

Avatar

สรุป

Avatar: Frontiers of Pandora เป็นเกมที่เต็มไปด้วยความใหญ่โต กราฟิกสวยงามอลังการ รวมไปถึงความตั้งใจที่ดีที่จะนำเสนอเรื่องราวในดินแดนแพนดอร่าของชาวนาวีอย่างเต็มเปี่ยม มันมีเซ็ตติ้งโลกที่น่าสนใจ รวมไปถึงเอเลเมนต์หลายๆ ที่พยายามจะฉีกไปจากความจำเจของเกมค่ายตัวเอง เพียงแต่ด้วยฟีเจอร์ที่น้อยไปสักหน่อย ไม่ลึกพอ และการนำเสนอที่ค่อนข้างตกยุค ก็ทำให้ท้ายที่สุดแล้วเกมนี้ยังไม่อาจทำให้เกมเมอร์หลายๆ คนรู้สึกอิ่มกับมันได้ครับ แม้จะเป็นเกมที่เล่นได้สนุก แต่เรายังคงเรียกร้องต้องการอะไรที่มากกว่านี้จากเกมฟอร์มระดับนี้จริงๆ

Avatar


VERDICT

7/10


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้