รีวิวเกม Gran Turismo 7 – เมื่อเกมซีรีส์นี้พยายามเข้าหาความเป็นแมสมากขึ้น

เวลาเรานึกถึงเกมซีรีส์ Gran Turismo ภาพจำของผู้เล่นนั้นมักจะนึกถึงเกมแนวแข่งรถที่มีคอนเทนต์ภายในค่อนข้างซีเรียสและจริงจังอยู่บ่อย ๆ ครับ เพราะเหมือนเป็นการรวมเอาแทบทุกศาสตร์ของรถยนต์มาประยุกต์ใช้และทำมาเพื่อเอาใจผู้เล่นที่เป็นคนรักรถโดยเฉพาะ ซึ่งถ้ามองในฐานะคนที่คลุกคลีวงการเกม ซีรีส์นี้จัดว่าเป็นเกมแนวเรซซิ่งของฝั่ง PlayStation ที่มีเอกลักษณ์ในตัวเองสูง แถมยังน่าทึ่งที่ตัวเกมสามารถยืนหยัดด้วยแนวทางของตัวเองมาได้นานกว่า 2 ทศวรรษเข้าไปแล้ว โดยหลังจากที่รอคอยกันมานานถึงเกือบ 9 ปีเต็ม ในที่สุด Gran Turismo 7 หรือ GT7 ก็ออกมาให้แฟน ๆ หายคิดถึงกันเสียที และนี่คือรีวิวจาก Online Station ที่ทีมงานได้เล่นมาแล้วบนแพลตฟอร์ม PS5 ครับ

แพลตฟอร์ม: PS5, PS4 (ทีมงานรีวิวจากเวอร์ชั่น PS5)
ผู้พัฒนา: Polyphony Digital
วางจำหน่าย: 4 มีนาคม 2022
แนวเกม: แข่งรถ / ซิมูเลเตอร์

ก่อนอื่นเลย สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงก็คืองานภาพที่เป็นจุดแข็งของเกมซีรีส์นี้มาตลอดครับ โดยการแสดงผลของ GT7 จะมีให้เลือก 2 โหมดหลัก ๆ เหมือนเกมอื่น ๆ ในสังกัด PlayStation Studios ที่พัฒนาลง PS5 นั่นก็คือโหมด Performance ที่เน้นเฟรมเรต 60 FPS กับอีกโหมดคือเน้น Resolution ซึ่งโหมดหลังจะมีพ่วงระบบ Ray Tracing ที่รองรับเฉพาะโหมดถ่ายรูปกับตอนดูรีเพลย์การแข่งย้อนหลังเท่านั้น ส่วนตอนเวลาเล่นปกติจะแสดงผลที่ระดับ 4K HDR และไม่มี Ray Tracing เข้ามาเสริมแต่อย่างใด

กราฟิกของโมเดลรถยนต์ หากเป็นตอนที่รถเคลื่อนที่ช้า ๆ หรือจอดนิ่ง ๆ ภาพจะเข้าขั้นสวยเนียนตา แต่เมื่อเป็นจังหวะที่รถอยู่ระหว่างแข่งขันและใช้ความเร็วสูง ความงามของทิวทัศน์โดยรอบรวมถึงรถคู่แข่งจะดรอปลงไปบ้าง จะมีแอบเฟลก็ตรงรายละเอียดการเคลื่อนไหวของผู้คนที่ชมการแข่งขันบนอัฒจันทร์หรือสองข้างทางที่ดูหยาบพอสมควร ถึงแม้ว่าวัตถุเหล่านี้จะไม่มีความสำคัญเท่ารถยนต์ที่ใช้แข่งก็ตามที แต่คิดว่าทีมงานควรทำให้สวยกว่านี้ได้อีก

ระบบเสียง 3D Audio เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยยกระดับของอรรถรสการเล่นไปอีกขั้น คนที่มีหูฟัง 3D Audio จะได้เปรียบมากเวลานั่งเล่นภายในห้องเงียบ ๆ คุณจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ตรงหน้า และเสียงของเครื่องยนต์จากรถคู่แข่งจนสามารถจับตำแหน่งได้ว่าเขาเตรียมจะแซงเราจากทางไหน กระทั่งเสียงเบิร์นยางเวลาดริฟต์ก็ชวนบาดใจมาก ยิ่งไปกว่านั้น การปรับมุมกล้องระหว่างแข่ง ไม่ว่าการมองผ่าน Cockpit, มองผ่านกระโปรงหน้ารถ, หรือมองแบบเห็นด้านหลังรถ การเกิดเสียงของเครื่องยนต์ และตำแหน่งเสียงวัตถุอื่น ๆ ก็แตกต่างกันด้วย เช่นกรณีขับรถที่เครื่องยนต์อยู่ด้านหน้า (FF หรือ FR) การมองผ่าน Cockpit จะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เบากว่าการใช้มุมกล้องผ่านกระโปรงหน้ารถ เป็นต้น

คนที่เล่นบน PS5 จะมีข้อได้เปรียบกว่าบน PS4 อีกเรื่องคือการโหลดที่ไวจากอานิสงส์ของ SSD ภายในตัวเครื่อง โดยการโหลดเข้าเกม การกดแก้ตัวใหม่เวลาสอบใบขับขี่ไม่ผ่าน หรือการเข้าไปในแต่ละสถานที่ของโลกซิมูเลเตอร์ ล้วนใช้เวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจก็ได้เล่นแล้ว ไม่ต้องรอนานเหมือนแต่ก่อน แต่การอัปเกรดของเกมนี้จะต้องเสียเงินเพิ่มเล็กน้อยด้วยนะครับ เลยขอแนะนำว่าถ้าไม่อยากเสียเงิน 2 ต่อก็รอเวอร์ชั่น PS5 ทีเดียวไปเลย หรือถ้ารอไม่ไหวจะจัดเวอร์ชั่น PS4 ก็แล้วแต่กิเลสของแต่ละคนครับ

เมื่อเข้ามาอยู่ในโลกของเกมที่เป็นเรซซิ่งซิมูเลเตอร์ จะมีสถานที่ต่าง ๆ ให้เราเข้าไปหลายแห่ง โดยช่วงแรกจะเหมือนกับภาคที่แล้วมา ก็คือเงินทุนตั้งตัวที่มีให้จำกัด การจะหารถคันแรกมาขับก็ต้องใช้บริการเต๊นท์รถมือสองกันก่อน จากนั้นก็ลงแข่งขันในรายการระดับเล็กเพื่อหาเงินมาแต่งรถที่มี แล้วขยับขยายไปหารถมือหนึ่งที่มีสมรรถนะแรงขึ้นเพื่อลงชิงชัยในรายการที่เป็นสเกลใหญ่กว่า ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสเต็ปเดิมแบบที่ภาค 1-6 ทำมาตลอด โดยแต่ละทัวร์นาเมนต์ก็จะมีกฎข้อบังคับในการเลือกรถมาแข่งที่แตกต่างกันไป บางรายการจะเจาะจงประเทศผู้พัฒนารถ บางรายการก็เจาะจงตัวเลขสมรรถนะของรถ เป็นต้น

การปรับแต่งรถยังเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของเกมเช่นเคย ซึ่งลายเซ็นของเกมซีรีส์นี้คือการที่ให้ผู้เล่นที่เชี่ยวชาญเรื่องโครงสร้างของรถสามารถปรับแต่งและจูนรถกันได้แบบละเอียดยิบ ตั้งแต่กลไกการเบรคจนถึงองศาของสปอยเลอร์ท้ายรถเพื่อให้ลมหนุนการทรงตัวและความเร็วของรถเราได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ถึงใครจะไม่มีทักษะในเรื่องพวกนี้ คุณก็ยังปล่อยให้มันเป็นค่า Auto ไว้แบบนั้นแล้วใช้ฝีมือการเลี้ยวการดริฟต์เอาเองในสนามก็ยังได้ เพราะเกมภาคนี้มีการปรับระดับความยากให้ปราณีผู้เล่นหน้าใหม่มากขึ้นเป็นกอง ถ้าจำกัดความกันแบบบ้าน ๆ เลยก็คือ ผู้เล่นขาจรก็เอาตัวรอดได้ หรือถ้าคุณเป็นคนที่ช่ำชองอยู่แล้ว ต่อให้ปิดระบบช่วยเหลือทิ้งทั้งหมดแล้วปรับจูนเองแบบที่เคยทำก็ยังมีภาษีดีกว่าผู้เล่นหน้าใหม่เยอะอยู่

ทางด้านการสอบใบขับขี่ในภาคนี้จะมีให้ทดสอบกันทั้งสิ้น 5 คลาส ซึ่งทัวร์นาเมนต์ระดับกลางเป็นต้นไปจะต้องมีการใช้ใบขับขี่คลาสต่าง ๆ ในการลงทะเบียนแข่งด้วย ว่ากันตามตรงมันก็คือชาเลนจ์ประเภทหนึ่งที่ถ้าเราผ่านได้ ก็จะมีสิทธิ์ในการเข้าถึงคอนเทนต์ที่อยู่ลึกลงไปในเกมนั่นเอง ดังนั้นมันก็เลยเป็นวัดฝีมือผู้เล่นไปในตัวว่าคุณคู่ควรที่จะได้ลงแข่งในทัวร์นาเมนต์ที่ยากขึ้นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ภาคนี้ก็มีการปรับความยากของบททดสอบให้ง่ายขึ้นกว่าเดิมพอตัว ซึ่งทีมงานเองไม่ได้จับภาค Sport มาก่อน เคยเล่นครั้งล่าสุดก็คือภาค 6 สมัยลงให้กับ PS3 พอได้มาลองสอบใบขับขี่ในภาค 7 ก็สามารถคว้าใบขับขี่คลาส 1-3 ได้ภายในการขับรอบแรกเลย อาจจะมีแก้ตัวซ้ำรอบบ้างในการสอบใบขับขี่ระดับสุดท้าย แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถผู้เล่นขาจรครับ อาศัยลองผิดลองถูกสักพักก็จะผ่านได้เอง

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาอย่างแรกในส่วนของโลกซิมูเลเตอร์คือ Cafe ที่เป็นลักษณะของการรับภารกิจจากบาริสต้ามาทำ ซึ่งแต่ละภารกิจจะทำได้ค่อนข้างง่ายและกินเวลาไม่นาน เป้าหมายที่ให้ทำจะคละกันไป อาทิ สะสมรถรุ่นที่กำหนดมาให้ครบ หรือการคว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์ตามรายการที่ระบุไว้ เป็นต้น โดยธีมของการรับภารกิจจะฉาบด้วยบรรยากาศของร้านกาแฟ เมื่อเปิดอ่านแต่ละเมนูก็จะมีหน้าตาของภารกิจ เป้าหมายของภารกิจ รวมถึงคำใบ้ในการพิชิตภารกิจให้ดูกันเสร็จสรรพ และหากเราทำภารกิจสำเร็จและกลับมาหาบาริสต้าก็จะได้รางวัลตอบแทน ยิ่งถ้าเป็นภารกิจที่ต้องสะสมรถ บาริสต้าก็จะเล่าประวัติความเป็นมาของเซ็ตรถที่เราออกไปตามหาด้วย

ทีนี้ ความพิเศษของ Cafe จะอยู่ที่กลวิธีการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับรถที่เป็นสไตล์คอมมูนิตี้ของคนรักรถครับ กล่าวคือจะมีการเล่าถึงเรื่องราวของรถรุ่นและซีรีส์ต่าง ๆ ด้วยถ้อยคำที่ชวนน่าฟัง พร้อมกับภาพประกอบที่ให้ความรู้สึกเหมือนการชมสารคดี ซึ่งข้อมูลที่เล่ามานั้นถือว่าลึกชนิดที่ว่าน่าจะมีแต่คนรักรถในระดับแฟนพันธุ์แท้หรือต้องคร่ำหวอดในวงการรถมานานมาก ๆ ถึงจะเล่าอะไรขนาดนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นที่ไม่ได้มีความชอบรถแบบลึกซึ้งหากมาอ่านอะไรพวกนี้แล้วอาจจะรู้สึกเบื่อหรือตะหงิดบ้างว่าเหมือนเอาคนที่เป็นเนิร์ดเรื่องยานยนต์มาเล่าให้ฟังยังไงยังงั้น

ปัญหาอีกอย่างก็จะเป็นบางภารกิจที่บังคับให้เราต้องไปสอบใบขับขี่คลาสต่าง ๆ อย่างที่ทีมงานเกริ่นไปในตอนแรกว่าการสอบใบขับขี่ภาคนี้มันง่ายขึ้นมากก็จริง แต่อาจจะเป็นกรณียกเว้นกับผู้เล่นที่ไม่ถูกกับเกมแนวนี้ด้วยประการทั้งปวง เพราะจะกลายเป็นว่าผู้เล่นกลุ่มนี้จะติดแหงกอยู่กับคอนเทนต์เท่าที่เขาเล่นได้ และไม่สามารถก้าวข้ามไปเล่นคอนเทนต์ลึกกว่านั้นได้เลย เต็มที่คือทำได้แค่ฟาร์มเงินเพื่อซื้อรถทุกคันจากโชว์รูมมาครองเท่านั้น แต่ก็ยังมีอีกตัวช่วยที่ให้คนที่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นสามารถเข้าถึงรถแพง ๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยจะมีการจำหน่าย Credit ที่เป็นสกุลเงินในเกมด้วยเงินจริงผ่าน PlayStation Store ซึ่งจะเปิดจำหน่ายกันตั้งแต่วันที่เกมวางขายเลย

ถัดมาคือโหมด Music Rally ที่เพิ่งจะมีเข้ามาในภาค 7 โดยโหมดนี้จะเป็นโหมดที่ถูกแยกออกมานอกตัวเกมอีกที เป้าหมายของโหมดดังกล่าวจะมีเพียงแค่การขับรถชมวิวตามทาง พร้อมกับเคล้าเสียงเพลงที่เราเลือกไว้ ซึ่งเพลงก็จะมีให้เลือกหลายแนว ไล่มาตั้งแต่ คลาสสิค, ร็อค, เฮฟวี่เมทัล, แจ๊ซ ฯลฯ ทั้งนี้ ระหว่างขับเกมจะมีเวลานับถอยหลังเหมือนเกมแข่งรถสไตล์อาเขตทั่วไปที่เราต้องวิ่งเข้าเช็คพอยต์ให้ทันเพื่อเติมเวลาให้สามารถวิ่งได้ต่อไป แต่เวลาขับจริงมันก็ไม่ได้มีความกดดันหรือยากจนต้องวิตกครับ ลำพังแค่ประคองรถไม่ให้หลุดโค้งก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จนจบเพลงได้สบาย

เอาเข้าจริง ๆ โหมด Music Rally ก็คือโซนสันทนาการ หรือพื้นที่ที่ให้ผู้เล่นได้เข้าไปผ่อนคลายโดยไม่มีภารกิจมาชี้นำหรือปัจจัยเรื่องการตระเวนเดินสายแข่งนั่นแหละครับ คล้ายกับการจับเราออกจากโลกของ GT สักพัก แล้วไปเล่นเกมแข่งรถสไตล์อาเขตที่ได้ฟังเพลงเพราะ ๆ คลอไปตลอดทาง และมันก็เป็นอีกหนึ่งโหมดที่ผู้พัฒนาพยายามสื่อสารกับเราว่าพวกเขาตั้งใจจะให้เกมนี้เข้าถึงผู้เล่นทุกกลุ่ม ตั้งแต่คนที่เป็นสาวก GT เข้าเส้น จนถึงคนที่แค่อยากลองเข้ามาสัมผัสกับเกมแข่งรถดูบ้าง ให้สามารถร่วมสนุกไปกับเกมนี้ได้ตามวิถีของตนเอง คนที่เป็นแฟน GT อยู่แล้วก็ยังได้เพลิดเพลินกับความเป็นเรซซิ่งซิมูเลเตอร์ได้อยู่ ขณะที่คนหน้าใหม่ที่จับเกม GT เป็นครั้งแรกก็เข้ามาทำความคุ้นเคยกับโหมดนี้ที่เป็นแนวแคชชวลกันก่อนก็ได้เช่นกัน

จุดที่หลายคนน่าจะชอบเป็นพิเศษในภาคนี้คือฟีเจอร์ Adaptive Triggers และ Haptic Feedback ที่ใช้ร่วมกับจอย DualSense ของ PS5 ครับ โดยการสั่นของจอยจะจำแนกตามสถานการณ์จริงที่เรากำลังเผชิญอยู่บนหน้าจอเลย เช่นถ้าล้อฝั่งซ้ายของเราเกยไปนอกขอบถนนที่เป็นพื้นกรวด การสั่นฝั่งซ้ายของจอยก็จะเป็นอีกแบบ ยิ่งถ้าเป็นรายการที่แข่งแบบสนาม Dirt หรือแนววิบาก ฟีลการสั่นจะมาเต็มมาก รวมถึงปุ่ม R2 ที่ใช้เป็นคันเร่ง (ถ้าเราไม่ได้ไปปรับตั้งค่าให้เป็นปุ่มอื่น) ที่มีการสู้แรงนิ้วของเราแตกต่างกันตามชนิดของรถและผันแปรตามการปรับแต่งรถของเราด้วย ซึ่งมันทำให้อรรถรสของการขับขี่ดูสมจริงขึ้นมากกว่าตอนเล่นภาค 5-6 แบบชัดเจน

เทคนิคที่ส่งเสริมการขับรถจำพวกสลิปสตรีมมิ่ง ที่อาศัยลมดูดจากท้ายรถคันหน้าเพื่อชิงจังหวะในการแซงยังสามารถนำมาใช้ได้เหมือนเดิม ซึ่งมีการนำระบบฟิสิกส์เข้ามาคำนวณในทุกภาคส่วนของตัวรถ ไม่เว้นแม้แต่การปรับแต่งรถด้วยตัวเอง การเทโค้ง ฯลฯ ถ้าเป็นคนที่ชอบความเร็วและรักการแต่งรถเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจะใช้ประโยชน์กับฟีเจอร์นี้ได้มาก โดยเฉพาะเวลาที่ฝนกระหน่ำและพื้นเปียกชุ่ม หรือแข่งวิบาก ระบบฟิสิกส์ก็จะเข้ามามีบทบาทในการสร้างอุปสรรคให้เกิดขึ้นระหว่างขับขี่ จนเกิดเป็นหนึ่งในความท้าทายและสมจริงขณะเล่น

GT7 มีการเซอร์วิสแฟน ๆ ที่รักการถ่ายรูปรถยนต์ด้วยสถานที่ที่ชื่อว่า Scapes โดยสถานที่แห่งนี้จะมีฉากสำเร็จรูปที่เป็นโลเคชั่นจริงจากทั่วโลก อาทิ ป่าไผ่อาราชิยามะ ที่จังหวัดเกียวโตของญี่ปุ่น หรือย่านชานเมืองของประเทศอิตาลี ซึ่งทีมงานได้คัดมาแต่จุดสวย ๆ ที่เหมาะกับการถ่ายรูปมาให้พร้อมแล้ว เหลือแต่เพียงเรานำรถที่มีมาวางแปะ จัดวางตำแหน่ง พร้อมกับตกแต่งแสงเงาเอาเอง โดยเครื่องมือที่มีให้ใช้แต่งรูปก็ใช้งานได้ง่าย เป็นมิตรแม้แต่กับคนที่ไม่มีสกิลถ่ายรูปใด ๆ เลยอย่างทีมงาน Online Station คนที่รีวิวนี้ด้วยซ้ำ นอกจากนั้นแล้ว การดูรีเพลย์ย้อนหลังหลังจากแข่งจบแต่ละสนามก็เป็นอีกไฮไลท์ที่อยากแนะนำครับ เพราะตัวเกมเปิดโอกาสให้เราได้เข้าไปตกแต่งคลิปรีเพลย์ย้อนหลังเหล่านี้ได้ตามใจชอบ แถมยังเซ็ตให้แสงเงาแสดงผลผ่านระบบ Ray Tracing ในรีเพลย์ให้ออกมาสวยสมจริงได้ด้วย (แต่ต้องปรับโหมดแสดงผลเป็นเน้น Resolution ก่อนนะครับ จึงจะใช้ Ray Tracing ในส่วนของการตกแต่งรีเพลย์ได้)

ใครที่เคยเล่นภาค 5 หรือ 6 มาก่อนอาจจะพอจำกันได้ว่ารถในเกมมีให้ตามเก็บมากกว่า 1,000 คันก็จริง แต่ในจำนวนนี้ก็มีอยู่เพียบที่เป็นรถหน้าตาซ้ำ ๆ แค่เปลี่ยนปีของรุ่นรถเท่านั้น ซึ่งในภาค 7 นี้จะมีรถให้ตามเก็บสะสมจำนวนทั้งสิ้น 424 คัน ทว่ารถแทบทั้งหมดจะมีดีไซน์แตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน อีกทั้งมีตั้งแต่แบรนด์ตลาด แบรนด์หรู จนถึงแบรนด์ยุคใหม่อย่าง Tesla ก็มีให้ขับกับเขาด้วย หรือกระทั่งรถรุ่นโบราณสมัยพระเจ้าเหาก็ยังมีให้เราหาซื้อมาขับได้

สนามในเกมจะมีประมาณ 30 กว่าสนามจาก 3 ภูมิภาคใหญ่ ๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และโอเชียเนีย สิ่งที่ทำให้ทุกสนามดูไม่ค่อยมีความจำเจก็คือสภาพภูมิอากาศและเวลาที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในการแข่ง บางทัวร์นาเมนต์เราอาจได้แข่งตั้งแต่ช่วงเย็นยันหัวค่ำ หรือบางอีเวนต์เราก็แข่งตั้งแต่ตอนฟ้าโปร่งจวบจนพายุเข้าก็มี ซึ่งก็รวมถึงทัวร์นาเมนต์ที่มีการใช้สนามเดียวกันสองรอบ โดยแบ่งเป็นการวิ่งวนตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกาเข้าไปด้วย ทุกสนามล้วนมีจุดเด่นให้ศึกษาผ่านประสบการณ์การแข่ง ทั้งตำแหน่งโค้งหักศอก หรือโค้งที่หลบอยู่หลังเนิน คนที่เคยผ่านเกมภาค 5-6 มาแล้วจะใช้เวลารื้อฟื้นไม่นาน และก็ไม่ได้โหดร้ายกับผู้เล่นหน้าใหม่มากเกินไปด้วย

โหมดมัลติเพลเยอร์ของภาคนี้จะเลือกได้ทั้งการแข่งแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยแบบออฟไลน์จะเป็นการแบ่งจอแบบซ้าย-ขวาเพื่อให้เห็นเมนูและตัวเลขความเร็วได้ง่าย เพื่อน ๆ คนไหนที่ชินกับการแบ่งจอบน-ล่างอาจต้องฝึกเล่นไปสักระยะจึงจะเริ่มคุ้นมือ ขณะเดียวกัน แบบออนไลน์ ณ ตอนที่ทีมงานได้รีวิวนั้น ทางผู้พัฒนายังไม่มีการเปิดเซิร์ฟเวอร์แบบสาธารณะ ด้วยเหตุนี้การเล่นเลยถูกจำกัดวงเพียงแค่การตั้งห้องแล้วชวนสื่อมวลชนคนอื่นที่ได้โค้ดรีวิวมาเล่นด้วยกัน ซึ่งเท่าที่ลองเล่นก็ไม่มีปัญหา Input Lag หรือการแล็กของเซิร์ฟเวอร์แต่อย่างใด

ในส่วนของเกมนี้จะมีการแปลซับไตเติ้ลและเมนูต่าง ๆ เป็นภาษาไทยให้เสร็จสรรพ แต่ตัวเกมจะไม่มีให้เลือกปรับภาษาที่ Option ในเกมนะครับ ตรงนี้ผู้เล่นต้องทำการเปลี่ยนภาษาของเครื่อง PS5 หรือ PS4 ให้เป็นภาษาไทยเสียก่อน จากนั้นพอเข้าเกมไป ภาษาในไทยจึงจะเปลี่ยนเป็นไทยให้เองโดยอัตโนมัติ ซึ่งคุณภาพของการแปลจัดว่าดีงาม อาจจะมีบางคำที่ดูแปร่งไปบ้างเช่นชื่อทัวร์นาเมนต์ หรือคำอธิบายบางคำในร้านค้าชิ้นส่วนแต่งรถ แต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับคอนเทนต์ที่ทำการแปลไทยมาทั้งหมด เชื่อว่าผู้เล่นคนไทยทุกคนถ้าได้มาเล่นด้วยภาษาไทยจะเข้าใจตัวเกมได้ไม่ยากเลย

ภาพรวมของเกมนี้เป็นเหมือนการนำเอาคนที่รักรถยนต์ในระดับคลั่งไคล้แทบทุกอณูมาแนะนำสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในโลกของเขามาให้เราได้ทำความรู้จัก อารมณ์ประมาณว่าเรามีโลกของเราตรงนี้ มีความชอบของเราอย่างนี้ เธอลองแวะมาดูโลกของเราหน่อยมั้ย ขณะที่ด้านเกมเพลย์ก็พยายามเข้าหาผู้เล่นที่เป็นมือใหม่หรือไม่ประสีประสากับเกมแนวเรซซิ่งมากกว่าภาคก่อน ๆ แบบลิบลับ จนรู้สึกได้ว่าเกมง่ายและเป็นมิตรกับผู้เล่นทุกเพศทุกวัยกว่าที่เคยเป็นมา แต่ก็ต้องแลกมากับความท้าทายสำหรับผู้เล่นแนวฮาร์ดคอร์ที่ลดลงตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งหากดูจากแนวทางที่ภาค 7 ดำเนินมาก็พอเดาคร่าว ๆ ได้ว่าในภาคต่อไปหลังจากนี้ ภาพลักษณ์ของซีรีส์ Gran Turismo คงจะเข้าสู่ความเป็นเกมแนวตลาดมากขึ้น เพื่อดึงผู้เล่นหน้าใหม่ให้มาสนใจซีรีส์อยู่เรื่อย ๆ ในเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป อีกทั้ง 25 ปีของซีรีส์เองก็สมควรแก่เวลาที่จะให้ตัวเกมได้ลองปรับตัวกับเขาบ้างแล้ว แม้จะมีอะไรเปลี่ยนไปจนแปลกตา ทว่าเกมนี้ก็ยังรักษาคุณภาพโดยรวมไว้ได้อยู่ และสามารถใช้เวลากับมันได้นานแน่นอนครับ

คะแนน 8.5

***ทีมงาน Online Station ขอขอบคุณทาง Sony Interactive Entertainment สาขาประเทศสิงคโปร์ที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกม Gran Turismo 7 สำหรับใช้ในการรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วยครับ***


เพื่อน ๆ ที่สนใจสามารถพรีออเดอร์เกมแบบดิจิทัลดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์ https://www.playstation.com/en-th/games/gran-turismo-7/


ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ Online Station ได้ที่ https://www.online-station.net

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้