หนึ่งในเกม AAA ที่หลายคนตั้งตารอในปีนี้ โดยเฉพาะเหล่าผู้ชื่นชอบในความท้าทายทั้งหลาย นั่นก็คือเกม Elden Ring ที่อีกไม่นานเกินรอทุกคนก็จะได้เข้าไปสัมผัสความโหดร้ายของตัวเกมกันแล้ว ซึ่งบทความนี้ก็จะมารีวิวตัวเกมที่ทางผมได้ทดสอบด้วยตัวเอง ในฐานะหนึ่งในแฟนเกมซีรีส์นี้ ผมจะมาเล่าความประทับใจกับตัวเกมที่ได้สัมผัสมาให้ได้รับชมกันนะครับ
ความยากระดับเกม Soul ตั้งแต่สร้างตัวละคร
ภายในเกม Elden Ring เราสามารถปั้นหน้าตัวละครของเราได้ ดั่งที่เคยเป็นในซีรีส์ Dark Souls แม้ในการเล่นจริงเราอาจจะไม่ได้โฟกัสหน้าตาตัวละครสักเท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นหนึ่งในความสุขทางใจไม่กี่อย่างของเกมนี้ที่เราจะมีหน้าตาตัวละครที่ชื่นชอบให้คลายเครียดกันบ้าง ซึ่งภาคนี้ก็มีความคมชัดที่มากขึ้น ทำให้หน้าตาตัวละครเราดูดีขึ้นด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างนั้นหากใครที่คิดจะปั้นหน้าให้สวยละก็ ตัวเกมยังคงลักษณะการปั้นหน้าแบบเดิมจากซีรีส์ Dark Souls “ซึ่งเป็นการปั้นหน้าที่ยากสุดๆ” ยากพอๆ กับการสู้บอสใหญ่สักตัวเลยทีเดียว ฮา เชื่อได้ว่าในการเล่นแบบออนไลน์เราจะได้เจอคนหน้าตาสุดประหลาดที่ใครเคยเล่นซีรีส์นี้มาก่อนต้องเจอกันมาบ้างแน่นอน
โลกแบบ Open World ที่ทำให้อารมณ์การเล่นเปลี่ยนไป
แต่ไหนแต่ไร ซีรีส์ Dark Souls ก็จะเป็นเกมที่ออกแนวไปตามทางเรื่อยๆ อยู่แล้ว (มีทางเลือกในบางพื้นที่ แต่โดยหลักการถือว่าคล้ายเส้นตรงอยู่ดี) แต่การเปลี่ยนเป็น Open World ของตัวเกมล่าสุดทำให้บรรยากาศการเล่นแตกต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก และการขี่ม้าก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ชวนให้เราเพลิดเพลินไปกับมันได้เป็นอย่างดี
แม้การขี่ม้าจะเป็นสิ่งที่ FromSoftware ไม่เคยทำในซีรีส์ Dark Souls มาก่อน แต่พวกเขาก็ทำมันออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก การใช้ม้าสำรวจฉากไม่ได้มีเพียงแค่การขี่ธรรมดาเพียงอย่างเดียว แต่หลายจุดเราสามารถใช้การ Double Jump ในการช่วยให้ไปสถานที่ต่างๆ ได้อีกด้วย และยังมีแท่นลมที่ใช้ขึ้นภูเขาสูงด้วยเช่นกัน
การออกแบบบอสภายในโซน Open World ก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดี และมีการออกแบบให้เหมาะกับการใช้ม้าร่วมสู้โดยเฉพาะ แม้เผินๆ อาจจะมองดูว่าเป็นเรื่องง่ายในการใช้ม้าช่วยสู้ แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น และต้องใช้ทักษะในการเล่นไม่ต่างจากการเล่นแบบยืนบนพื้นปกติอยู่ดี
และไม่ต้องห่วงว่าความเป็น Open World จะทำให้อารมณ์การเล่นแบบเดิมๆ หายไป เพราะตัวเกมจะมีโซนดันเจี้ยนซึ่งมีกระจายอยู่ตามฉากเยอะมาก รวมไปถึงดันเจี้ยนขนาดใหญ่ ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นไม่สามารถขี่ม้าได้ทำให้การเข้าไปในพื้นที่เหล่านั้นให้อารมณ์ไม่ต่างจากการเล่นเกมซีรีส์ Souls ภาคเก่าๆ เลย แต่เพิ่มเติมมาด้วยการออกแบบฉากที่เพิ่มลูกเล่นในการกระโดด ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการสำรวจให้มากกว่าเดิมหลายเท่า
พัฒนา Quality of Life แต่ไม่ทำให้เกมง่ายจนเกินไป
หนึ่งในสิ่งที่ช่วยให้เกมการเล่นแบบ Open World นั้นลื่นไหลก็คือ “ระบบเติมขวดยา” ที่ไม่จำเป็นต้องนั่งที่แสงพร (Bonfire ใน Elden Ring) เพียงอย่างเดียว แต่ศัตรูบางตัวหรือบางกลุ่ม หากเราจัดการได้หมดก็จะช่วยเติมขวดยาให้บางส่วนขึ้นอยู่กับความยากของศัตรูเหล่านั้น ทำให้ผู้เล่นสายเวทย์ไม่จำเป็นต้องแบ่งขวดยาในการเติมเลือดมากขนาดนั้น ซึ่งจุดนี้ทำให้เราสามารถผจญภัยท่องโลกกว้างได้อย่างลื่นไหลมากกว่าเดิม
นอกจากนี้การตายในโซน Open World บางจุด ก็จะมี Checkpoint ให้เราเลือกเกิดใกล้จุดที่เราตาย แทนที่จะไปเกิดตรงจุดแสงพรที่เรานั่งล่าสุด ซึ่งมักจะมีแถวพื้นที่ที่มีศัตรูเก่งๆ รวมไปถึงบอสต่างๆ ทำให้แม้เราจะตายก็ไม่ต้องเสียเวลาควบม้าเพื่อมาสู้ใหม่อีกครั้ง ตรงจุดนี้ก็ช่วยทำให้การเล่นมีความลื่นไหลมากเช่นกัน
ลูกเล่นใหม่อย่าง Ashes of War ที่ช่วยเสริมความหลากหลายของการใช้อาวุธให้ดีกว่าเดิม จากที่แต่ก่อนอาวุธสามารถทำได้แค่อัปเกรดเท่านั้นและไม่ได้มีผลกับท่าของอาวุธแต่อย่างใด แต่ในภาคใหม่นี้เราสามารถปรับท่าพิเศษของอาวุธได้ และยังเลือกเปลี่ยน DMG Scaling ของอาวุธได้อีกด้วย (เหมือนกับการ infusion ใน Dark Souls 3) ซึ่งสามารถทำได้อย่างอิสระ ทำให้เราปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
ระบบการต่อสู้ที่ยกระดับไปอีกขั้น
หากดูเผินๆ ตัวเกม Elden Ring อาจจะไม่ต่างกับ Dark Souls มากนัก แต่หากได้ลองมาสัมผัสจะรู้ว่า ระบบการต่อสู้มีการผสมผสานจากเกม Sekiro และพัฒนาออกมาได้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นก็มาจากการกระโดดที่มีประโยชน์ในการต่อสู้ด้วยเช่นกัน
แม้เราจะไม่เห็น แต่ศัตรูภายในเกมนี้จะมีสิ่งที่คล้ายๆ กับ Posture ของเกม Sekiro (เกจที่ทำให้ศัตรูล้ม) ซึ่งมันจะขึ้นเยอะหากผู้เล่นใช้ท่าโจมตีหนัก หนึ่งในนั้นคือท่ากระโดดตีหนัก ที่จะช่วยทำให้เราสามารถทำ Critical Hit กับศัตรูได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
การกลิ้งก็ยังเป็นพื้นฐานในการหลบหลีกของเกมไม่ต่างจากซีรีส์ Souls แต่การกระโดดที่เพิ่มมาใหม่ก็จะช่วยหลบท่าการโจมตีบางประเภทได้ด้วยเช่นกัน และเราสามารถผสมผสานการกระโดดโจมตีหนักอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เพื่อทำให้ศัตรูล้มลงได้ง่ายขึ้น คล้ายกับเกม Sekiro ที่เราสามารถกระโดดเหยียบหัวศัตรูเพื่อเพิ่มค่า Posture นี่เอง
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มท่าอย่าง Guard Counter ด้วยการโจมตีหนักหลังจากที่เราบล็อคศัตรูทันที ก็เป็นอีกหนึ่งท่าที่ช่วยทำให้ศัตรูล้มลงง่ายด้วยเช่นกัน แม้จะเป็นท่าที่กดได้ง่ายแต่ก็ใช่ว่าท่านี้จะสามารถใช่ได้กับศัตรูทุกตัว เพราะบางครั้งเราอาจจะโดนท่าต่อเนื่อง หรือศัตรูบางประเภทก็สามารถกระโดดหลบและสวนเราแทนได้เช่นกัน
แม้การเล่นแบบสไตล์เดิมๆ อย่างการสแปมตีเบารัวๆ ยังทำได้ไม่ต่างจากตัวเกมภาคก่อนๆ แต่ลูกเล่นใหม่ที่กล่าวมานี้ก็ทำให้การใช้โจมตีหนักที่มักเป็นท่าที่ถูกลืม มีความสำคัญมากขึ้นในเกมตัวใหม่นี้ แม้จะต้องเน้นจังหวะในการใช้งานมากกว่าปกติ แต่หากทำสำเร็จก็จะให้ผลตอบรับที่ดีและทำให้เราสามารถจัดการบอสบางตัวได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
ความลับต่างๆ บนโลกอันกว้างใหญ่
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เกมซีรีส์ Souls มีความเป็นเอกลักษณ์นั่นก็คือการเล่าเรื่อง รวมไปถึงปริศนาต่างๆ ที่มีให้ค้นหาอย่างมากมาย ซึ่งภายในเกม Elden Ring นั้นก็ทำออกมาได้ดีอย่างเช่นเคย การเดินทางสำรวจในจุดต่างๆ และได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ ก็อาจจะทำให้เราได้ไอเท็มแปลกๆ อาวุธใหม่ๆ และอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อการเล่นโดยรวมของเรา ทำให้การเดินทางมีอะไรที่น่าตื่นเต้นรอเราอยู่เสมอ
ทั้งเรื่องของ NPC ต่างๆ ที่การกระทำบางอย่างของเราจะส่งผลกับเนื้อเรื่องของพวกเขา รวมไปถึงศัตรูบางประเภทที่อาจจะโผล่มาตามช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ยิ่งทำให้โลกภายในเกมน่าค้นหามากกว่าเดิมหลายเท่า และเราอาจจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ แม้จะเป็นพื้นที่ที่เราเคยสำรวจไปแล้วก็ตาม
แม้ Elden Ring จะเป็น IP ใหม่ แต่ถ้าจะให้พูดว่ามันคือ Dark Souls 4 ก็ไม่ผิดเท่าไหร่นัก ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นภาคต่อที่ก้าวกระโดดและพัฒนาระบบต่างๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ระบบที่พัฒนาให้เล่นได้สะดวกขึ้น แต่ Core หลักของเกมก็ยังคงอยู่และผู้เล่นจะยังได้รับความรู้สึกเหล่านั้นอย่างเต็มเปี่ยม
ถ้าคุณมองหาเกมที่ท้าทาย เกมที่อาจจะทำให้คุณท้อ การเจอศัตรูฆ่าเป็นสิบกว่าครั้งจนคุณต้องพยายามหาหนทางที่ดีที่สุดที่จะฆ่ามัน ความรู้สึกของความสำเร็จที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้ คุณจะไม่ผิดหวังกับเกมนี้อย่างแน่นอน เพราะมันถือเป็นหนึ่งในเกมที่สุดของซีรีส์ Souls ณ เวลานี้เลยก็ว่าได้