ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเกมจัดเป็นธุรกิจที่มีเม็ดเงินสะพัดมหาศาลไม่แพ้วงการภาพยนตร์หรือสื่อบันเทิงประเภทอื่นๆ ครับ เนื่องด้วยกระบวนการพัฒนาเกมยุคนี้ต้องใช้เทคโนโลยีที่มีความพิถีพิถัน และใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างสุดกำลังในการออกไอเดียให้เกมมีความแปลกใหม่และน่าสนใจแก่ผู้เล่น ซึ่งก็แน่นอนว่าสัจธรรมของธุรกิจก็ย่อมมีทั้งการประสบความสำเร็จและล้มเหลวปะปนกันไป
โดยในช่วงก่อนที่ Nintendo จะเข้ามาครองแชมป์เครื่องเกมคอนโซลในเจเนอเรชั่นที่ 3 ด้วยเครื่อง Famicom (หรือ NES ในตลาดตะวันตก) ได้นั้น ก็มียักษ์ใหญ่ของเครื่องเกมคอนโซลมีบริษัท Atari ครองบัลลังก์อยู่ แต่ก็ดันเกิดเหตุการณ์พลิกผันที่เกิดจากความผิดพลาดครั้งใหญ่ครั้งเดียว ทำให้ Atari ร่วงหล่นลงมา และไม่อาจกลับไปอยู่จุดเดิมได้อีกเลย ซึ่งดราม่าที่ว่านี้เคยเป็นที่กล่าวขานกันในช่วงต้นยุค 80 เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร เรามาชมกันเลยดีกว่า
ย้อนไปในปี 1982 ณ เวลานั้นภาพยนตร์เรื่อง E.T. the Extra-Terrestrial (ขอย่อว่า E.T.) ที่กำกับโดยผู้กำกับมือทองอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก กำลังดังเป็นพลุแตก พร้อมกวาดรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศไปอย่างถล่มทลาย ทางบริษัท Atari ที่เป็นผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลในชื่อเดียวกัน เลยสบโอกาสที่จะจับกระแสนี้ไว้ ด้วยการระดมกำลังโปรแกรมเมอร์ในบริษัทให้ช่วยเขียนเกม E.T. ขึ้นมา โดยโปรเจ็กต์ดังกล่าวดำเนินกันแบบไฟลนก้น คือใช้เวลาพัฒนากันเพียง 5 สัปดาห์เท่านั้น เพื่อให้ทันวางจำหน่ายในช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี 1982 นั่นเอง
และแล้วตัวเกมก็ทำยอดขายพุ่งไปถึง 1.5 ล้านตลับได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอกับความคาดหวังของทาง Atari ที่มองว่ากระแสหนังดีขนาดนี้ เกมก็ต้องควรขายได้มากตามไปด้วย เลยสั่งเพิ่มการผลิตออกมาเป็น 5 ล้านตลับเพื่อกระตุ้นยอดขาย ทว่าพอเวลาผ่านไป ผู้คนที่ซื้อเกมไปเล่นก็ผิดหวังกับคุณภาพของเกมที่ห่วยแตกเกินจะบรรยาย เลยทยอยพากันมาคืนตลับและขอคืนเงินกับทาง Atari จนตลับเหล่านั้นแทบจะกองท่วมบริษัท
พอเกมขายไม่ได้ตามเป้า ไอ้ที่ผลิตเพิ่มมาก็ขายไม่ออก ไหนจะโดน Refund จากผู้เล่นจนรายได้แทบไม่เหลือ สุดท้าย Atari ก็นำตลับเกม E.T. ที่ขายไม่ออก รวมถึงตลับเกมอื่นๆ ที่มียอดขายย่ำแย่ไปฝังดิน ณ พื้นที่เวิ้งว้างในเมืองอลาโมกอร์โด รัฐนิวเม็กซิโก ซึ่งเพิ่งจะมีข่าวไปเมื่อปี 2014 ว่ามีการขุดพบตลับเกมจำนวนมากถูกฝังอยู่ใต้พื้นดิน โดยอดีตพนักงานของ Atari ได้ออกมายอมรับในประเด็นนี้ว่าพวกเขาเคยนำตลับเกมกว่า 8 แสนตลับมาฝังในพื้นที่ดังกล่าว ก่อนที่ทาง Atari จะถูกฟ้องล้มละลายและโดนบริษัทอื่นเข้าเทคโอเวอร์ในปี 1984
ทั้งนี้ มีรายงานว่าทาง Atari ได้จ่ายเงินเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ E.T. เพื่อมาทำเกมมากถึง 25 ล้านเหรียญ แต่ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้น เลยทำให้ Atari ตกเป็นหนี้มูลค่าประมาณ 536 ล้านเหรียญ (ถ้าเทียบค่าเงินในปี 2019 จะมีมูลค่าประมาณ 1,039 ล้านเหรียญเลยทีเดียว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Atari ก็ได้ถูกขนานนามว่า Video Game Crash of 1983 หรือ “การล้มละลายของวงการเกมแห่งปี 1983” จนถึงทุกวันนี้