รีวิว Assassin’s Creed Odyssey เปิดตำนานมือสังหารฉบับ RPG!

แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (แพลตฟอร์มที่ใช้รีวิวคือ PS4)
ผู้พัฒนา: Ubisoft
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 60-80 ชั่วโมง 
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นสำหรับคนที่ต้องการเก็บทุกรายละเอียด: มากกว่า 90 ชั่วโมง

ทีมงาน OS ต้องขอขอบคุณทาง Ubisoft ที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกม Assassin’s Creed Odyssey เพื่อใช้ในการรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


แฟนๆ ซีรีส์ Assassin’s Creed หลายคนอาจเคยฝันเอาไว้ว่า สักวันหนึ่งจะได้เห็นเกมนี้เป็นเกม RPG เต็มรูปแบบที่ให้เราได้กำหนดทิศทางของเนื้อเรื่องด้วยตนเอง ได้เลือกคำตอบ หรือได้เลือกเพศของตัวละครตามที่ต้องการ และหลังจากที่รอคอยกันมานับสิบภาค… ในที่สุดวันนั้นก็มาถึงแล้ว เมื่อ Assassin’s Creed Odyssey ได้ผลักดันตัวเองจากเกมโอเพ่นเวิลด์ธรรมดา มาเป็นเกม Action RPG แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งก็นับว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน แต่หลังจากได้ลองเล่นแล้ว ก็พูดได้เต็มปากเลยค่ะว่าสมคำร่ำลือที่หลายคนเรียกภาคนี้ว่าเป็น “หนึ่งในภาคที่ดีที่สุดของซีรีส์” จริงๆ

แต่จะดีอย่างไรบ้างนั้น เชิญหยิบหอกของท่านขึ้นมา แล้วร่วมตะลุยตามลอยลีโอนีดาสไปในมหากาพย์ครั้งนี้ด้วยกันเลย!


เนื้อเรื่อง

แน่นอนว่าเกมในซีรีส์ Assassin’s Creed ทุกภาคนั้นมีจุดเด่นอยู่ที่การย้อนเวลาไปเผชิญหน้ากับเรื่องราวและบุคคลสำคัญในอดีต ในภาคนี้ก็จะยังคงเป็นเช่นนั้นค่ะ โดยฉากหลังที่ทาง Ubisoft เลือกใช้ในภาคนี้จะเป็นในยุคกรีกโบราณ ช่วง 431 BCE หรือ 431 ปีก่อนคริสตศักราช โดยช่วงนั้นเป็นช่วงที่สงครามเพโลพอนนีเซียน (Peloponnesian War) หรือศึกชิงความเป็นใหญ่ระหว่างสปาร์ตาและเอเธนส์กำลังดำเนินอยู่พอดี (หากยังนึกไม่ออก ให้นึกถึงศึกรบพุ่ง ณ เทอร์มอพิลีหรือเหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่อง 300 ค่ะ เหตุการณ์ในเกมนี้จะเกิดหลังจากศึกดังกล่าว 49 ปี)

เนื้อเรื่องของเกมนี้จะถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของตัวละคร Alexios (ตัวละครเพศชาย) หรือ Kassandra (ตัวละครเพศหญิง) ที่เราสามารถเลือกเล่นได้ตั้งแต่ตอนเริ่มเกม โดยตัวเราในตอนนั้นจะมีอาชีพเป็น “Misthios” หรือนักรบรับจ้างที่ต้องคอยออกสืบหาความเป็นจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมภายในอดีต โดยไม่มีทางรู้เลยว่าเส้นทางที่ต้องเดินนั้นจะนำไปสู่ภารกิจที่ยิ่งใหญ่อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้ก็ถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมิใช่น้อย แม้ด้วยความยาวของเกมและการที่ตัวเกมบังคับให้เราต้องทำเควสต์ย่อยต่างๆ เพื่ออัพเลเวลจะทำให้ความปะติดปะต่อของเนื้อเรื่องลดน้อยลงไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่ามีความดราม่าน่าติดตามอยู่เหมือนเคย

พูดถึงเควสต์หรือภารกิจกันไปแล้ว ก็ขออนุญาตนำระบบที่ว่ามาอธิบายขยายความสักหน่อย ภารกิจในภาคนี้จะยังคงแบ่งเป็นภารกิจหลักและภารกิจย่อยเหมือนเดิม และด้วยขนาดของแผนที่ที่ใช้คำว่าใหญ่อาจจะยังไม่พอ ขอบอกเลยว่าขนาดผู้เขียนเล่นมาแล้วเกือบ 60 ชั่วโมง ก็ยังมีเควสต์ย่อยโผล่ออกมาให้ทำอยู่เลย ซึ่งไอ้เจ้าเควสต์ย่อยต่างๆ ที่เราจะได้เล่นกันนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนุกหรอกนะคะ เพราะแต่ละเควสต์ก็จะมีรายละเอียดและอรรถรสที่แตกต่างกันไป ทั้งซีเรียส เศร้า หรือแม้แต่ตลกขบขัน แต่ด้วยจำนวนของเควสต์และความกว้างของแผนที่แล้ว สุดท้ายก็ยังหลีกเลี่ยงความซ้ำซากไม่ได้อยู่ดี

นอกจากเควสต์หลักและเควสต์ย่อยแล้ว ภาคนี้ก็จะยังคงมีระบบเควสต์แบบจับเวลาอยู่เช่นเคย (และระยะเวลาที่เราสามารถทำเควสต์ให้เสร็จได้จะนับเป็นเวลาจริงๆ ด้วยนะ ไม่ใช่แค่เวลาในเกม) รวมถึงมีเควสต์ระดับ World หรือเควสต์ตามบอร์ดให้เราคอยเก็บตามรายทางไปเรื่อยๆ ด้วย และแน่นอนว่ารางวัลที่ได้นั้นก็มีโอกาสที่จะได้เป็นแร่ Orichalcum ที่สามารถนำไปแลกเป็นอาวุธหรือของใช้ที่ขายอยู่ในร้านค้าของทาง Ubisoft ได้ หรือหากใครที่เป็นสายเสี่ยงโชค ก็สามารถนำแร่ที่ว่าไปแลกเป็นไหกาชามาเปิดสุ่มได้ แต่ก็ระวังความเค็มของเกลือกันด้วยนะเออ

และแน่นอนว่าส่วนที่จะขาดไปไม่ได้ย่อมเป็นเนื้อเรื่องในช่วงยุคปัจจุบัน ในภาคนี้ เราจะยังได้รับบทเป็นแม่สาว Layla Hassan ที่เคยปรากฏตัวในภาค Origins แล้ว แต่มาคราวนี้ เธอจะกลับมาในฐานะมือสังหารในกลุ่มภาคีแบบเต็มตัว ไม่ใช่ในฐานะของพนักงาน Abstergo อีกต่อไป เพียงแต่ว่านั่นก็เป็นเพียงความคืบหน้าเดียวที่ตัวเกมแจ้งให้เราทราบ โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องในส่วนของยุคปัจจุบันก็ยังคงไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไกลจากจุดเดิมอยู่ดีค่ะ…


เกมเพลย์

ระบบการเล่นหลักๆ ในภาคนี้จะยังคงเหมือนภาค Origins ทุกประการ ก็คือมีความเป็น Action ผสมกับ RPG ต่างกันแค่ในภาคนี้จะมีความเป็น RPG หนักกว่าทุกภาคที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งก็คือการนำระบบตัวเลือกสนทนาแบบเกม RPG แท้ๆ มาใส่ไว้ในเกมด้วย ซึ่งก็บอกเลยว่าทาง Ubisoft นั้นตีโจทย์ได้แตกพอสมควรเลยค่ะ เพราะตัวเลือกแต่ละตัวนั้นจะส่งผลต่อลักษณะนิสัยของตัวละครเอกของเรา รวมถึงความสัมพันธ์ของตัวเรากับตัวละครอื่น มิหนำซ้ำยังอาจส่งผลต่อความเป็นไปของเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อีกด้วย บางตัวเลือกนั้นบางทีเลือกไปตอนต้นเกม แต่กลับส่งผลยาวมาจนถึงท้ายเกมเลยก็มี ซึ่งการจะกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ที่ว่าได้ก็คือต้องโหลดเซฟ หรือเริ่มเล่นใหม่ลูกเดียว และเมื่อดูจากความยาวของเกมแล้ว ขอบอกเลยค่ะว่าคิดให้ดีก่อนเลือกตอบจะดีกว่า…

ในส่วนของระบบการต่อสู้ในภาคนี้จะยังคงมีกลิ่นอายแบบภาคก่อนอยู่แทบจะทุกกระเบียดนิ้ว ต่างกันแค่ในภาคนี้จะไม่มีโล่ให้ตัวเอกเราถือแบบภาคก่อนแล้ว ดังนั้นระบบการตั้งโล่ป้องกันจึงถูกถอดออกไป หลงเหลือไว้แค่เพียงระบบ parry และการกลิ้งหลบเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าย่อมทำให้ระบบการต่อสู้ในภาคนี้มีความท้าทายขึ้นมาก เพราะเราจำเป็นจะต้องจับจังหวะการโจมตีของคู่ต่อสู้ให้ดี มิเช่นนั้นก็อาจลงเอยด้วยการโดนรุมยำจนตายคาที่ได้ หรือหากใครที่ลองเล่นแล้วรู้สึกว่ายังไม่ยากสะใจ ก็สามารถไปเลือกปรับระดับความยากของเกมได้ ซึ่งก็จะมีตั้งแต่ Easy, Normal, Hard และระดับที่ยากที่สุดอย่าง Nightmare ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกเปลี่ยนได้ระหว่างเกมอย่างอิสระ รวมถึงสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะเล่น Guided Mode หรือ Exploration Mode ซึ่งความแตกต่างของสองโหมดนี้ก็คือการเล่นใน Exploration Mode นั้น ตัวเกมจะไม่ได้ใส่ตำแหน่งเป้าหมายของเควสต์เอาไว้ให้ ผู้เล่นจะต้องเป็นผู้ออกสำรวจและหาทางทำเควสต์ดังกล่าวให้สำเร็จด้วยตนเอง โดยอาศัยเพียงคำใบ้และการพูดคุยกับ NPC ที่เป็นผู้ให้เควสต์เท่านั้น ซึ่งสำหรับผู้เล่นที่ต้องการความท้าทายแล้ว โหมดนี้ก็ถือเป็นโหมดที่น่าสนใจไม่น้อยเลย แต่ก็เช่นเคย หากภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงพอก็อย่าได้คิดเล่นโหมดนี้เชียว มีดองเควสต์แน่นอน…

อีกจุดหนึ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดก็คือระบบทักษะหรือสกิลของตัวละครนั่นเองค่ะ โดยสกิลของตัวละครของเรานั้นจะแบ่งออกเป็น 3 สายใหญ่ๆ ได้แก่ Assassin, Warrior และ Hunter ซึ่งรูปแบบของสกิลแต่ละสายก็จะตรงตัวตามคำแปลเลย หากเป็นสกิลในสาย Assassin รูปแบบของสกิลก็จะเน้นไปที่การลอบสังหารหรือการลอบเร้นเป็นหลัก หรือถ้าหากเป็นสาย Warrior รูปแบบของสกิลก็จะเน้นไปที่การต่อสู้แบบประชิดตัวแทน ส่วนสกิลในหมวดหมู่ Hunter นั้นจะเน้นไปที่การโจมตีระยะไกล หรือก็คือการยิงธนูนั่นเอง ซึ่งภายในเกมนั้น ผู้เล่นจะสามารถเลือกใส่สกิลได้ครั้งละ 12 สกิล (ในตอนแรกจะยังใส่ได้แค่ 8 แต่จะมีเพิ่มขึ้นมาในภายหลัง) โดยแบ่งเป็นสกิลของสาย Hunter 4 สกิล และสกิลของสาย Warrior และ Assassin อีกทั้งสิ้น 8 สกิล ซึ่งการจัดสกิลที่ว่านี้ก็จะขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน ดังนั้นใครถนัดสายไหนก็สามารถเลือกจัดสกิลและจัดชุดได้ตามใจชอบเลยค่ะ

พูดถึงการจัดชุดแล้ว ระบบไอเทมของภาคนี้ก็ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ถูกนำมาพัฒนาต่อยอดจากของเดิมเช่นกัน โดยในภาคนี้ เราจะไม่ได้ปรับแต่งเพียงแค่อาวุธและธนูของเราเท่านั้น แต่เราจะสามารถจัดแต่งเครื่องแต่งกายได้ทุกส่วน ตั้งแต่หมวก เกราะ ปลอกแขน ไปจนถึงรองเท้ากันเลยทีเดียว นอกจากนี้ อาวุธและชุดเกราะในแต่ละส่วนก็จะมีค่าพลังเป็นของตนเอง และจะมีเปอร์เซ็นต์ค่าพลังที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งยิ่งเลเวลและระดับความหายากของไอเทมชิ้นนั้นสูงมากเท่าไร ค่าพลังแต่ละอย่างก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่สำหรับใครที่ถูกใจค่าพลังของไอเทมที่เลเวลต่ำก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะตัวเกมยังคงมีระบบการอัพเกรดให้เช่นเคย รวมถึงมีระบบ Engraving หรือระบบ “เสริมพลัง” ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ด้วย อธิบายง่ายๆ ก็คือการนำอาวุธแต่ละชิ้นมาใส่ค่าพลังตามที่ชอบเข้าไปนั่นเอง อารมณ์เดียวกับการเจาะรูไอเทมบนเกมออนไลน์นั่นแหละ

อีกหนึ่งระบบที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของภาคนี้ก็คือระบบ Naval Battle หรือระบบการเดินเรือและการต่อสู้บนผืนทะเล ซึ่งจะเรียกว่าเป็นการรีไซเคิลระบบเดิมก็ไม่ผิดเสียทีเดียว… เพราะระบบนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งระบบที่ถูกนำมาปรับปรุงใหม่ให้มีรสชาติแตกต่างไปจากเดิมค่ะ อย่างไรน่ะเหรอ… ก่อนอื่นต้องอย่าลืมว่าในภาค Odyssey ที่มีฉากหลังเป็นยุคกรีกโบราณ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการคิดค้นประดิษฐ์ปืนใหญ่ขึ้นมา ดังนั้นการต่อสู้กับเรือข้าศึกจึงเป็นการระดมยิงธนูและปาหอกใส่ศัตรูแทน ซึ่งหากถามหาความสะใจแล้ว อาจต้องบอกว่าลดน้อยลงจากภาคที่ชูระบบนี้เป็นตัวเด่นอย่าง Black Flag แต่ถ้าพูดถึงความสนุกแล้วล่ะก็ ขอบอกเลยค่ะว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากเลย เพราะนอกจากจะได้ทำลายเรือของข้าศึกและริบเอาวัตถุดิบทั้งหมดมาอัพเกรดเรือตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว เรายังสามารถชักชวนผู้คนที่เราพบเจอตามสถานที่ต่างๆ (หรือแม้กระทั่งเคยสู้ด้วย) มาเป็นลูกเรือของเราได้ด้วย ซึ่งลูกเรือแต่ละคนก็จะมีค่าสถานะแตกต่างกันออกไป จะเลือกให้เรือของเราถึกขึ้น ยิงแรงขึ้น หรือมีความเร็วเพิ่มขึ้นก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจของกัปตันเลยค่ะ!

ยังค่ะ… ยังไม่จบ ในภาคนี้ยังมีระบบอีกอย่างที่ถือว่าน่าสนใจ และเพิ่มความท้าทายให้กับตัวเกมได้ไม่น้อย ระบบนั้นก็คือระบบ Mercenary หรือระบบนักล่าค่าหัวค่ะ ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนว่าชีวิตมือสังหารในภาคนี้นั้นไม่ได้ถือว่าอิสระเท่าไหร่เมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ เพราะการจะหยิบจับสิ่งของตามฉาก การเปิดหีบ หรือแม้กระทั่งการฆ่าทหารแต่ละคน ทุกอย่างจะถูกเชื่อมโยงเข้ากับระบบค่าหัวของเกม ซึ่งหากตัวเรานั้นมีค่าหัวถึงจุดที่กำหนด ก็ถึงเวลาที่เหล่านักรบรับจ้างหรือ Mercenary ทั้งหลายนั้นจะออกมาล่าหัวเราไปขึ้นเงินรางวัลกัน และการต่อสู้กับนักรบรับจ้างแต่ละตัวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ ซะด้วยสิ เพราะความอึดของแต่ละตัวนั้นเทียบเท่ากับทหารระดับหัวหน้าได้สบายๆ แถมแต่ละคนยังมีตาทิพย์ที่จะมองหาเราเจอได้ทุกครั้งไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ ดังนั้นถ้ายังไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองนัก ก็จงหลบให้ห่างพวกเขาไว้ดีกว่า

แต่ถ้าหากเพื่อนๆ มั่นใจว่าใจพร้อม อาวุธพร้อม การสังหารนักรบรับจ้างเหล่านี้ก็จะให้รางวัลเป็นไอเทมชั้นดีกับคุณด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเพิ่มขั้นให้กับระดับ Mercenary ของเราด้วย (อย่าลืมว่าตัวเอกของเราก็เป็น Misthios หรือนักรบรับจ้างคนหนึ่งเหมือนกัน) ซึ่งยิ่งระดับในส่วนนี้ของเราสูงขึ้นมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งได้รับสิทธิประโยชน์ดีๆ มากมาย อย่างเช่นลดจำนวนวัตถุดิบในการอัพเกรดเรือ ลดจำนวนวัตถุดิบในการอัพเกรดอาวุธ เพิ่มโอกาสดรอปไอเทมหายาก เป็นต้น ส่วนถ้าใครที่รู้สึกว่ายากไป ไม่อยากสู้ ก็สามารถไปจัดการกับบุคคลที่เป็นคนขึ้นค่าหัวของเรา หรือยอมใช้เงินเพื่อแลกกับการลบดาว เอ๊ย… ลบค่าหัวได้เช่นกัน แต่จะนิยมวิธีใช้ไหนนั้นก็แล้วแต่เพื่อนๆ ชอบเลยค่ะ

และระบบสุดท้ายที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของภาค Odyssey เลยก็คือระบบ Conquest Battle หรือระบบสงครามชิงพื้นที่นั่นเองค่ะ เนื่องจากไทม์ไลน์ของภาคนี้ตั้งอยู่ในช่วงศึกการพุ่งรบระหว่างสปาร์ตาและเอเธนส์แบบพอดิบพอดี การที่ทั้งสองฝ่ายดังกล่าวเข้าปะทะกันเพื่อชิงสิทธิ์ในการครอบครองเขตหัวเมืองต่างๆ จึงถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งในจุดนี้ นักรบรับจ้างแบบเราจะสามารถเลือกได้ว่าจะขอเข้าไปมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยหรือไม่ หากเลือกที่จะเข้าร่วม เราก็จะสามารถลดทอนอิทธิพลของฝ่ายที่ครอบครองพื้นที่ในเขตนั้นๆ ได้โดยการสังหารทหารในป้อม บุกยึดค่าย ทำลายคลังเสบียง ขโมยเงินหนุน ไปจนถึงแอบลอบฆ่าผู้นำเขตในขณะนั้น ซึ่งหากอิทธิพลของฝ่ายที่ครอบครองพื้นที่ดังกล่าวลดลงถึงจุดที่กำหนด สงครามชิงพื้นที่ก็จะบังเกิดขึ้นให้เราได้ไปร่วมแจม ซึ่งสงครามที่ว่านี้จะเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่มีผู้คนเข้าปะทะกันทีเดียวนับร้อยคน หน้าที่ของเราก็คือการช่วยเป็นกำลังให้กับฝ่ายที่เราเลือกจะเป็นพันธมิตรด้วย ซึ่งหากเราชนะในศึกครั้งนี้ ก็จะได้รับรางวัลเป็นค่า EXP พร้อมเงินอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงอุปกรณ์สวมใส่ดีๆ อีกหนึ่งถึงสองชิ้นด้วย เรียกว่าเป็นเวทีสำหรับฟาร์มของชั้นดีเลยล่ะ


กราฟิก / การนำเสนอ

ขึ้นชื่อว่า Ubisoft แล้ว ด้านกราฟิกก็หมดกังวลไปได้เลย การเก็บรายละเอียดของสถานที่ สภาพแวดล้อมต่างๆ ไปจนถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของ NPC ตามฉากยังคงทำได้เนียนกริ๊บไม่มีที่ติ แม้ว่ากราฟิกในภาคนี้จะดูไม่ค่อยแตกต่างจากภาค Origins ซักเท่าไร แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ แล้ว เสียอย่างเดียวว่าหากเพื่อนๆ คนไหนเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 ตัวธรรมดา อาจจะพบกับอาการเฟรมเรตร่วงหรือเกมหน่วงเป็นช่วงๆ ได้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อการเล่นแต่อย่างใด

สิ่งที่น่ากลัวเพียงอย่างเดียวของเกมนี้ก็คือบั๊กต่างๆ ค่ะ ในช่วงระหว่างการเล่นนั้น ใครที่โชคร้ายหน่อยก็อาจจะเจอเข้ากับบั๊กด้านกราฟิกที่ทำให้เกมกระตุกหนักได้เหมือนกัน รวมถึงบั๊ก Error ชนิดต่างๆ ที่ถึงขั้นทำให้เกมค้างกันเลยทีเดียว ยังดีที่ทาง Ubisoft คอยออกแพทซ์แก้อยู่บ่อยๆ และบั๊กที่ว่าก็ไม่ได้เจอบ่อยจนถึงขั้นเรียกว่าเป็นเกมอุดมบั๊กแบบภาค Unity แต่บางทีก็ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดได้เหมือนกัน

ส่วนการนำเสนอด้านอื่นๆ เช่นเสียงพากย์ การแสดงสีหน้าของตัวละครถือว่าทำได้ดีพอสมควรเลยค่ะ โดยเฉพาะในด้านของเพลงประกอบที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองแบบชัดเจน เล่นแล้วก็แอบอยากกดเงินออกมาซื้อ OST มาเก็บไว้ซักอัลบั้มเหมือนกัน…


จุดเด่น

  • ภาพกราฟิกที่สวยงามตามแบบฉบับ Ubisoft
  • รายละเอียดของสถานที่ต่างๆ ทำออกมาได้อย่างสมจริง รวมถึง NPC ตามฉากก็ดูมีชีวิตชีวาด้วยเช่นกัน
  • ความกว้างของแผนที่ภายในเกม เล่นกันได้ยาวๆ ไม่มีเบื่อ

จุดด้อย

  • หากเล่นบนเครื่อง PS4 ตัวธรรมดาอาจจะยังมีอาการหน่วงอยู่บ้าง
  • ระบบ Romance ที่ยังขาดความละเอียดอยู่
  • การที่ตัวเกมบังคับให้เราฟาร์มของเก็บเลเวล ทำให้เนื้อเรื่องขาดความปะติดปะต่อไปบ้าง
  • เนื้อเรื่องช่วงปัจจุบันที่ยังคงไม่คืบหน้าไปไหน…


สรุป

หากจะเรียกเกม Asssassin’s Creed Odyssey ว่าเป็นหนึ่งในภาคที่ดีที่สุดก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงนัก เพียงแต่ว่าในแง่ของการเป็นเกม RPG แล้ว ทาง Ubisoft อาจจะยังต้องทำการบ้านเพิ่มอีกสักหน่อยหากอยากเทียบชั้นกับเกม RPG รุ่นพี่ แต่หากเทียบกับเกม Assassin’s Creed ภาคอื่นๆ แล้ว นี่คือหนึ่งในภาคที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และรับรองเลยว่าหากได้ลองเล่นแล้วจะต้องวางไม่ลง ถึงขั้นลืมวันลืมคืนกันอย่างแน่นอน

คะแนน 9 / 10

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้