แพลตฟอร์ม: PS4
ผู้พัฒนา: Naughty Dog
ผู้จัดจำหน่าย: Sony
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: 6-8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่นแต่ละคน)
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นแบบเก็บทุกรายละเอียด: 8-10 ชั่วโมง
***ขอขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment (Singapore Branch) และ PC&Associates Consulting ที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกมสำหรับการรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วยครับ***
หลังจากที่ Uncharted 4: A Thief’s End ได้รูดม่านปิดตำนานของเนธาน เดรค (Nathan Drake) ไปเมื่อปีก่อน พร้อมกับทิ้งคำถามคำโตๆ ให้กับแฟนๆ ซีรีส์นี้ว่า “แล้วจะให้ใครมาเป็นพระเอกคนต่อไปล่ะ?” แต่ก่อนที่จะได้มองกันถึงภาคหลักภาคต่อไป ทาง Naughty Dog ก็ได้ปล่อยภาคเสริมที่มีชื่อว่า The Lost Legacy ออกตามมา พร้อมกับชู โคลอี้ สาวสุดแสบซึ่งเป็นนางรองจากภาค 2 และ 3 มารับบทเป็นตัวเอกของภาคนี้ ท่ามกลางความเห็นของผู้เล่นที่เสียงแตกกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าการนำผู้หญิงมาเป็นตัวเอกจะดีเหรอ? นี่กำลังจะพยายามเดินตามรอย Tomb Raider รึเปล่า? การมาของ The Lost Legacy จะช่วยพิสูจน์อะไรให้ผู้เล่นได้เห็นถึงความแตกต่างหรือไม่กันแน่
พล็อตของ The Lost Legacy จะกล่าวถึง โคลอี้ เฟรเซอร์ (Chloe Frazer) นักล่าสมบัติสาวที่ต้องมาแท็กทีมกับ เนดีน รอสส์ (Nadine Ross) ในการตามหางาพระพิฆเนศ (Tusk of Ganesh) ซึ่งเป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าของดินแดนจักรวรรดิฮอยซาลาในประเทศอินเดีย ที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 10-14 โดยสมบัติชิ้นนี้เกี่ยวพันกับอดีตของโคลอี้ ในขณะที่ตัวเนดีนเองก็ต้องการส่วนแบ่งครึ่งนึงจากการร่วมมือกับโคลอี้เพื่อไปกอบกู้ Shoreline หน่วยทหารรับจ้างของเธอที่แตกซ่านกระเซ็นตั้งแต่หลังจบภาค 4 ทว่าเส้นทางของทั้งคู่ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนัก เพราะต้องเผชิญหน้ากับ อซาฟ (Asav) นักล่าสมบัติอีกคนที่หวังจะเคลมงาพระพิฆเนศด้วยเช่นกัน
มาพูดถึงเกมเพลย์กันก่อน ระบบหลักๆ ของเกมจะยืนพื้นของภาค 4 มาใช้เกือบทั้งหมดครับ อาทิ การโหนเชือก กระโดดจากที่สูงเพื่อลงมาทุบศัตรู รวมถึงการลอบเร้น ฯลฯ แต่ใน The Lost Legacy จะมีเพิ่มระบบการสะเดาะกุญแจเข้ามา ซึ่งระบบนี้มีความจำเป็นในการไขประตูบางจุด ตลอดจนหีบที่พวกสมุนของอซาฟวางทิ้งไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อนำปืนเจ๋งๆ มาใช้ หรือบางทีก็มีไอเทมดีๆ ซ่อนอยู่ โดยปืนที่มีให้ใช้ในภาคนี้ เกือบทั้งหมดจะเป็นปืน DLC ที่เคยมีให้ใช้เฉพาะโหมดมัลติเพลเยอร์ จะมีซ้ำของเดิมก็แค่พวกอาวุธหนักอย่าง RPG หรือปืนสไนเปอร์ เป็นต้น และปืนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะใช้งานได้ดี ไม่ค่อยมีแรงถีบ เหมาะกับผู้เล่นมือใหม่ที่ยังเล็งไม่คล่องนัก
ถัดมาคือระบบถ่ายภาพ โดยระบบดังกล่าวนี้ต้องถือว่าเป็นน้ำจิ้มที่ไม่มีส่วนสำคัญใดๆ นอกจากเพื่อเก็บโทรฟี่และไว้ดูภาพที่เคยถ่ายเพื่อความสวยงามบนมือถือ Xperia ที่โคลอี้ใช้ในเกมนั่นเอง ซึ่งในบางจุดที่เราปีนป่ายไปจนถึงยอด หรืออยู่ในมุมที่เห็นแลนด์มาร์คได้สวยๆ ก็จะมีไอคอนขึ้นให้เรากดเพื่อใช้มือถือของโคลอี้ถ่ายภาพ และเราสามารถหยิบมันขึ้นมาดูเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ คนที่เคยเล่นภาค 4 มาก่อนน่าจะนิยมใช้วิธีการกดปุ่ม Share บนจอย DualShock 4 เพื่อแคปรูประหว่างเล่นผ่าน Photo Mode เอาซะมากกว่า เพราะเห็นได้เต็มจอและปรับแต่งมุมได้อิสระด้วย
เมื่อเล่นมาถึงประมาณ Chapter 4 ตัวเกมจะเปลี่ยนจากการลุยเป็นเส้นตรงมาเป็นการผจญภัยแบบโอเพ่นเวิลด์ (อารมณ์จะเหมือนฉากขับรถกลางทุ่งมาดากัสการ์ในภาค 4) แต่ของ The Lost Legacy จะมีซากโบราณสถานยิบย่อยนับสิบให้เราไปแวะเวียนเพื่อทยอยไขปริศนาหาทางเปิดประตูที่อยู่อีกสุดฉากของแผนที่ ตรงนี้จะเป็นจุดที่ใช้เวลานานที่สุดในเกม เพราะเราต้องเดินทางไปยังจุดต่างๆ ด้วยรถ ผสมผสานกับการปีนป่าย แถมโบราณสถานแต่ละจุดก็ห่างกันใช่ย่อย ถ้าเรียกง่ายๆ ก็คือโบราณสถาน 1 แห่งก็คือเควสต์ย่อย 1 เควสต์ดีๆ นี่เอง ซึ่งในบรรดาโบราณสถานทั้งหมดนี้ก็จะมีเหรียญตราให้เราสะสมให้ครบ เพื่อปลดล็อคไอเทมพิเศษที่เป็นสร้อยข้อมือ โดยสร้อยนี้จะส่งเสียงร้องทุกครั้งที่เราเข้าใกล้สมบัติชิ้นเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ตามฉาก ช่วยทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเป็นกอง
ต้องยอมรับอย่างนึงแล้วครับว่า ในช่วงหลายปีหลังมานี้ Naughty Dog ได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นค่ายเกมอันดับต้นที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่าเรื่องผ่านตัวเกมออกมาได้ลุ่มลึก ผู้เล่นอย่างเราๆ สามารถคล้อยตามความคิดและพฤติกรรมของตัวละครได้ผ่านไดอาล็อกและคัทซีนต่างๆ ตลอดทั้งเกม และ The Lost Legacy ก็ยังคงจุดแข็งที่เป็นเครื่องหมายการค้าของค่ายนี้เอาไว้ได้อยู่ เราจะได้เห็นการสนทนาระหว่างการผจญภัยของโคลอี้กับเนดีนที่ส่งต่อบทและมุกแนวสาวแกร่งสลับกันไปมา กลายเป็นเคมีที่เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอเล่นไปจนจบเกมแล้วก็ยังเสียดายตรงที่ว่า สุดท้ายแล้วบารมีของโคลอี้เองเพียงคนเดียวก็ยังไม่สามารถ “แบก” เกมไปได้ ด้วยเหตุนี้การมีเนดีนมาแจมด้วยจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดให้เนื้อเรื่องของเกมดูไม่จืดเกินไปนัก
ความรู้สึกเวลาเล่นเกมแนวๆ นี้ สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก่อนเลยก็คือกราฟิกและการออกแบบฉากครับ ซึ่งสถาปัตยกรรมของดินแดนลับแลไม่ว่าจะที่ไหนๆ ล้วนทำออกมาสวยหยดย้อยชนิดที่ต้องหยุดเกมแล้วเข้า Photo Mode กันรัวๆ และภาค The Lost Legacy ก็เหมือนกัน เราจะได้เห็นความงามของศิลปะจากแดนภารตะกันทุกอณู หุบเขาที่สลักเป็นรูปพระพิฆเนศขนาดยักษ์ วิหารสไตล์ฮินดูโบราณ หรือแม้กระทั่งถ้ำใต้บาดาลที่มีภาพเขียนบอกเล่าตำนานของอาณาจักรฮอยซาลา ยิ่งดำเนินเรื่องลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งอยากลุยต่อไปให้เห็นชัดๆ ว่าข้างในนั้นจะมีอะไรสวยๆ ให้ดูอีก ซึ่งถ้าให้เทียบกันเฉพาะในแง่ของ Presentation กับเกม Tomb Raider เวอร์ชั่นรีเมค ทีมงานมองว่าทาง Uncharted น่าจะทิ้งห่างเป็นช่วงตัวแล้วครับ
ตลอดช่วงของเกมจะมีการลำดับเกมเพลย์เอาไว้ค่อนข้างมีชั้นเชิง คือมีช่วงที่ขับรถตะลอนไปทั่วฮอยซาลา ช่วงที่ต้องลอบเร้น บู๊สะบั้น ไขปริศนา ปีนป่าย ตอนเราไล่กวดศัตรูและถูกศัตรูไล่ล่า สลับกันไปมา ไม่มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าเสียเวลากับมันนานเกินไป อย่างตอนขับรถที่เป็นการลุยแบบโอเพ่นเวิลด์ ก็ยังมีสถานที่ให้เราแวะไปแก้ปริศนา ปีนป่าย หรือมีศัตรูให้เชือดอยู่เรื่อยๆ เรียกได้ว่าเพลินกับเกมได้แบบแทบไม่มีพักกันเลย
เนดีนที่เป็น AI คอยซัพพอร์ตเราในเกมนี้จะค่อนข้างเก่งพอตัวครับ เมื่อถึงคิวบู๊เธอจะไม่ยิงศัตรูส่งเดชเหมือน AI ในภาคก่อนๆ บางจุดที่เราต้องสู้ด้วยวิชาป้องกันตัวก็จะมีบทให้เราเล่นท่าผสานกับนางด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่ออยู่ในฉากที่ต้องเน้นลอบเร้น บรรดาศัตรูจะยังคงไม่สนใจเนดีนแม้ว่านางจะเดินเฉี่ยวจมูกพี่แกแล้วก็ตาม ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องปกติไปแล้วนับตั้งแต่ Uncharted ภาคก่อนหน้า รวมถึง The Last of Us (อันนี้พอเข้าใจได้เพราะศัตรูควรมองเห็นเฉพาะตัวละครที่เราบังคับได้ เพื่อป้องกันปัญหา AI พาเราซวย)
ตัวเกมจะมีโหมดมัลติเพลเยอร์พ่วงมาด้วย ใครที่รักการห้ำหั่นระหว่างผู้เล่นด้วยกัน หรือชื่นชอบการ Co-op กับเพื่อนๆ แล้วลุยฝูงศัตรู ก็ไม่ต้องเปลี่ยนเกมกลับไปเล่นโหมดมัลติเพลเยอร์บนภาค 4 อีกต่อไป เพราะข้อมูลทุกอย่างที่เราเคยเล่นมาจะจำอยู่ในเซิร์ฟเวอร์หมดแล้ว ขอเพียงแค่หยิบแผ่น The Lost Legacy มาเล่นโหมดมัลติเพลเยอร์ก็สานต่อความสนุกได้ทันที และถ้าใครเล่นโหมดเนื้อเรื่องของ The Lost Legacy จบไปแล้วรอบนึง ก็จะสามารถปลดล็อคสกินตัวละครในภาคนี้ไปใช้ในโหมดมัลติเพลเยอร์ได้ด้วยครับ
จุดเด่น
1. กราฟิกและองค์ประกอบศิลป์ของเกมทำมาได้ตามมาตรฐานของค่าย Naughty Dog ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความงามของสถาปัตยกรรมโบราณสถาน แมกไม้ในป่า ตลอดจนโลเคชั่นในเมือง ทุกอย่างชวนให้เรารู้สึกว่าโลกในเกมดูน่าค้นหาและจับต้องได้ ลำพังแค่แคปภาพวิวสวยๆ ในเกมก็ผลาญเวลาเล่นได้ค่อนวันแล้ว
2. แม้ว่าตัวละครแต่ละตัวในเกมภาคนี้จะเป็นพระรองในภาคหลัก แต่เนื้อเรื่องของเกมมีการผูกปมความสัมพันธ์มาได้น่าสนใจ ทั้งประเด็นของปูมหลังตัวละคร รวมถึงแรงจูงใจในการมาล่าสมบัติและการตัดสินใจทำเรื่องต่างๆ ลงไป ไม่เว้นแม้แต่บทสนทนาของตัวละครฝ่ายโคลอี้ที่ดูมีความเป็น “มนุษย์” กล่าวคือมีทั้งด้านสว่างและด้านมืด หาใช่ตัวละครในอุดมคติ ทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ตัวละครดูมีมิติ และมีแนวคิดใกล้เคียงกับผู้คนในโลกความเป็นจริงดี
3. ซีเควนซ์ของเกมเพลย์ใส่มาได้ค่อนข้างลงตัว ตัวเกมมีทั้งช่วงที่ต้องไขปริศนา ตะลุยขับรถในอาณาจักรโบราณฮอยซาลาในแนวโอเพ่นเวิลด์ ปีนป่าย ต่อสู้ และช่วงไล่ล่า ไดนามิกของเกมมีการสลับช่วงช้า-เร็วตามอารมณ์ของเกมช่วงนั้น ช่วยให้เกมไม่ตึงเครียดหรือน่าเบื่อจนเกินไป
4. ใครที่อยากให้ซีรีส์ Uncharted เน้นปริศนามากกว่าที่เป็นอยู่ ภาคนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ เพราะพี่แกใส่มาเพียบ ขนาดที่ว่าในช่วงที่เดินทางแบบโอเพ่นเวิลด์ก็ยังมีปริศนาให้ขบคิดกันแทบทั่วบริเวณเลย
5. สำหรับคนที่ชอบเล่นโหมดมัลติเพลเยอร์ สามารถย้ายมาเล่นบนเกมนี้ได้เลย โดยเฉพาะคนที่เล่นเวอร์ชั่นแผ่นก็ไม่ต้องเปลี่ยนกลับไปใส่แผ่นภาค 4 เพื่อเล่นมัลติเพลเยอร์ สะดวกชีวิตมากขึ้นเยอะ
จุดด้อย
1. เนื่องจากตัวเกมเป็นเนื้อเรื่องเสริมของภาค 4 ดังนั้นให้ทำใจแต่เนิ่นๆ เลยครับว่าเกมเพลย์ร้อยละ 90% จะเหมือนภาค 4 แทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมีเพิ่มเข้ามาก็เพียงการสะเดาะกุญแจ ปืนเก็บเสียงสำหรับการเล่นสไตล์ลอบเร้น และระบบถ่ายภาพวิวเฉพาะจุดเท่านั้น
2. เคมีของโคลอี้กับเนดีนอาจจะเข้ากันได้ดี แต่ลำพังโคลอี้เพียงคนเดียวนั้นยังไม่มีเสน่ห์และหนักแน่นมากพอที่จะแบกบทนำแบบโซโล่ได้ อีกทั้งการปรากฏตัวของเธอในภาคก่อนๆ เพียงไม่กี่ภาคก็ยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันกับนางได้ไม่มากพอ บทในบางช่วงเลยดูโหวงๆ ไปหน่อย
สรุป
จริงอยู่ที่ชื่อชั้นและศักดิ์ศรีของ The Lost Legacy จะเป็นรองภาค 4 แต่ด้วยคุณภาพและสเกลของเกมที่ทำออกมาใหญ่โต เลยทำให้เกมนี้ดูน่าสนใจไม่แพ้ภาคหลัก ไหนจะความสมจริงของตัวละครทั้งเรื่องความเคลื่อนไหว มุมมองความคิด และการออกแบบสิ่งต่างๆ ภายในเกม ทำให้ซึมซับได้ง่ายว่าทีมงาน Naughty Dog มีการทำการบ้านมาอย่างหนักในเรื่องของประวัติศาสตร์และโบราณคดีเหมือนเช่นภาคก่อนๆ ใครที่เคยเล่นภาค 4 แล้วยังโหยหาบรรยากาศการล่าสมบัติ พร้อมฝ่าดงกระสุนของวายร้าย ก็ควรลองภาคนี้ดูครับ อย่างน้อยก็ช่วย “เติมเต็ม” ฟีลเหล่านั้นได้อยู่
คะแนน 9 / 10