ก่อนชมรีวิว ลองมาฟังเสียงเพราะๆ ของน้องมาย แคสเตอร์สาวจากช่อง MindaRyn_ สังกัด OS Caster ที่ร้อง Cover เพลงประกอบของเกม NieR: Automata ที่ชื่อว่า Vague Hope กันก่อนนะครับ
—————————————————————————————————————————
แพลตฟอร์ม: PS4, PC (ทีมงานรีวิวจากเวอร์ชั่น PS4)
ผู้พัฒนา: PlatinumGames
ผู้จัดจำหน่าย: Square Enix
เรต: 17 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: 13 ชั่วโมง
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นแบบเก็บทุกรายละเอียด: 35 ชั่วโมง
เกม NieR: Automata นั้นเป็นภาคต่อของ NieR บนเครื่อง PS3 และ Xbox360 ที่เคยวางจำหน่ายเมื่อปี 2010 แต่ที่จริงแล้วเกมซีรีส์ NieR ที่เป็นแนวไซไฟทั้งหมดจะถูกจัดอยู่ในจักรวาลของ Drag-on Dragoon ที่เป็นแนวแฟนตาซีเกม และผู้กำกับของซีรีส์นี้ก็คือคุณ Yoko Taro ที่มีชื่อเสียงขึ้นมาด้วยฝีมือการเขียนบทที่มีเนื้อหาโทนมืดมนและซับซ้อนชวนติดตาม ซึ่งแน่นอนว่าแฟนผลงานทั้งหลายก็คาดหวังกับ NieR: Automata ในทางนั้นด้วย แถมภาคนี้ก็ยังได้ทีมงาน PlatinumGames ที่เคยมีผลงานพัฒนาเกมแอ็กชั่นชั้นดีมากมายมารับหน้าที่ดูแลให้อีกเช่นกัน
เนื้อเรื่องของเกมเป็นเรื่องราวในอนาคตอันห่างไกลจากภาคก่อน เมื่อโลกมนุษย์ได้ถูกรุกรานจากเอเลี่ยนที่ใช้เหล่าจักรกลเข้าโจมตี จนมนุษย์ชาติส่วนใหญ่ต้องหลบหนีออกจากโลกไปอาศัยอยู่บนดวงจันทร์ ทว่าฝ่ายมนุษย์ก็ยังไม่ได้ยอมแพ้เสียทีเดียว โดยมีองค์กร YorHa ที่จัดตั้งเพื่อการขับไล่เอเลี่ยน ได้ใช้หุ่นรบแอนดรอยด์ที่รูปลักษณ์เหมือนมนุษย์เพื่อทำการต่อสู้กับพวกจักรกล และตัวเอกของเกมนี้คือแอนดรอยด์สาวนามว่า B2 ซึ่งเป็นรุ่นสร้างมาเพื่อทำการต่อสู้ในศึกครั้งนี้นั่นเอง
ตัวละครในเกมล้วนแล้วแต่ออกแบบมาได้อย่างมีเสน่ห์ โดยคนที่น่าสนใจที่สุดก็คือตัวเอก 2B ที่เป็นหญิงสาวในชุดสไตล์โกธิคสีดำที่คาดผ้าปิดตาตลอดเวลา โดยเกมพยายามที่จะนำความเซ็กซี่ของเธอมาเป็นจุดขายอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นท่าแอ็กชั่นต่อสู้ที่โชว์กางเกงในให้เห็น หรือแม้แต่โทรฟี่ในเกมก็ยังมีเงื่อนไขที่ให้หมุนมุมกล้องเพื่อส่องดูกางเกงในของเธออีกด้วย อย่างไรก็ดี ทีมงานมองว่าเธอมีบทที่น่าสนใจตรงที่ชอบทำตัวเหมือนเคร่งครัดตามหน้าที่อยู่ตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นก็มีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ นอกจากนี้ก็มีตัวละครรองที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น 9S แอนดรอยด์นักรวบรวมข้อมูลเด็กหนุ่ม หรือ A2 แอนดรอยด์สาวผู้หลบหนีจากหน้าที่ในอดีต นอกจากนี้ก็ยังมีหุ่นจักรกลของฝ่ายศัตรูที่ถูกสร้างในร่างของมนุษย์ เช่น อดัมกับอีฟด้วย
ทั้งนี้ เกมจะเป็นแนวโอเพ่นเวิลด์ที่รันด้วยความละเอียด 900p และเฟรมเรต 60 fps บนเครื่อง PS4 ซึ่งหลังจากผ่านเนื้อเรื่องช่วงบทนำไปแล้ว เกมก็จะเริ่มเข้าในส่วนของโอเพ่นเวิลด์และมีฉากกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทั้งซากเมืองเก่า ป่าไม้ ทะเลทราย โดยเราจะเดินทางในเกมกันนานเลยทีเดียวในช่วงแรก แต่หลังจากที่เราเล่นไปได้สักพักและพบ Access Point ที่ใช้เป็นจุดเซฟตามจุดต่างๆ ได้แล้วก็จะสามารถใช้คำสั่ง Warp Travel เพื่อทำการวาร์ปไปในจุดที่เคยผ่านมาแล้วได้ อีกทั้งส่วนของโอเพ่นเวิลด์ก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยเสริมให้มีลูกเล่นคล้ายกับในเกมภาคก่อน เช่น การตกปลา ล่าสัตว์ หรือการนำสัตว์มาเป็นพาหนะก็ยังคงมีอยู่ ในขณะที่วัตถุดิบที่เราหามาได้ก็ยังสามารถนำไปใช้ในการอัพเกรดอาวุธหรือ POD ได้อีกด้วย
จุดที่น่าชื่นชมอย่างมากในเกมนี้ก็คือบรรดาเควสต์ย่อยที่เป็นเควสต์ที่ให้เราทำนอกจากเป้าหมายหลักในเกม ไม่ใช่แค่ให้ทำๆ ไปเพื่อเอารางวัลตอบแทนเฉยๆ แต่มันมักจะมีเนื้อเรื่องบอกใบ้เรื่องราวที่เป็นปริศนาของเกมนี้ซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งถ้าเราทยอยทำให้ครบก็จะเข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้น และแต่ละเควสต์ก็ไม่ต้องใช้เวลาทำมากมายนัก ตรงนี้ทีมงานจึงขอแนะนำให้ทยอยทำเควสต์ให้หมดและซึมซับเรื่องราวในเกมให้ครบ ส่วนของเควสต์นี่ต้องบอกว่าทำออกมาได้ไม่เสียชื่อผู้กำกับ Yoko Taro จริงๆ
แต่สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยสันทัดเกมแอ็กชั่นก็ไม่ต้องกลัวไปนะครับ เพราะเกมนี้มีระดับความง่ายแบบ Easy ที่น่าจะเรียกว่าสุดๆ แห่งความง่ายมาให้เล่นด้วย โดย Easy นี้นอกจากศัตรูจะอ่อนแอแล้ว ตัวละครที่เราบังคับยังสามารถเปิดโหมด Auto ที่จะยิงโจมตีอัตโนมัติเมื่อมีศัตรูปรากฏ ฟันโจมตีให้เองทันทีเมื่อศัตรูเข้าใกล้ และยังกลิ้งหลบให้เมื่อศัตรูโจมตีเข้ามาได้อีกด้วย เรียกว่าเดินเข้าหาศัตรูอย่างเดียวก็ชนะได้หมดแล้ว แต่ถ้าผู้เล่นต้องการความท้าทายก็สามารถเลือกระดับความยากที่สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตามก็คงต้องบอกว่าระดับ Normal ก็ยังค่อนข้างง่ายไปด้วยซ้ำ โดยผู้ที่เล่นเกมแอ็กชั่นบ่อยๆ อาจต้องเริ่มที่ระดับ Hard ขึ้นไปเลย
แอ็กชั่นของเกมนี้จะใช้การโจมตีเบา แรง และยิง เป็นหลัก โดยการโจมตีเบาและแรงนั้นเราต้องติดตั้งอาวุธประจำให้ด้วย เช่นนำดาบเล็กมาติดที่การโจมตีเบา และดาบใหญ่มาติดที่การโจมตีแรงก็จะ เป็นการโจมตี 2 ประเภทด้วยอาวุธที่ต่างกัน และถ้าเราสลับเปลี่ยนการติดตั้งของดาบ แม้ว่าจะเป็นอาวุธเดิมทั้งคู่ แต่รูปแบบการโจมตีที่ได้ก็จะต่างกันด้วย ส่วนการยิงโจมตีนั้นจะยิงกระสุนโจมตีออกจากหุ่น POD ที่จะบินติดตามเหล่าแอนดรอยด์ไปในการต่อสู้เหมือนอาวุธบินเคลื่อนที่ โดยเราสามารถอัพเกรดและติดตั้งท่ายิงโจมตีแบบพิเศษให้กับ POD ได้เช่นกัน และนอกจากอาวุธโจมตีแล้วยังจะมีอุปกรณ์เสริม เช่น ชิป ที่ติดตั้งแล้วจะได้สกิลพิเศษต่างกัน อาทิ การเพิ่มความสามารถในการโจมตีระยะประชิดหรือสวนกลับ จึงถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เลือกปรับอัพเกรดตัวละครได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ส่วนที่รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างก็คือแอ็กชั่นท่าโจมตีคอมโบของเกมนี้จะไม่มีความซับซ้อนนัก เพราะผู้สร้างต้องการจะให้มีความเรียบง่าย อีกทั้งศัตรูยังเข้ามารุมเราทีละมากๆ จึงเน้นไปทางด้านหลบมากกว่า ดังนั้นส่วนของคอบโบโจมตีแบบหวือหวาทำยากแต่เท่ที่เป็นจุดขายของ PlatinumGames ก็จะดูลดน้อยลงไปในจุดนี้
ข้อเสียอีกอย่างของเกมนี้ นอกจากเรื่องลดแอ็กชั่นหวือหวาไปก็คงเป็นเรื่องกราฟิกนั่นแหละครับ ถึงเกมจะทำเป็นแนวโอเพ่นเวิลด์ที่มีฉากกว้างใหญ่และการตีไซน์ตัวละครก็สวยงาม แต่พอลองเล่นแล้วจะรู้สึกกลายๆ ว่าเหมือนเกมทุนต่ำไปหน่อย เพราะรายละเอียดและเท็กซ์เจอร์ของฉากยังดูโล่งเกินอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเรื่องเฟรมเรตนั้นปกติมักจะไม่ค่อยมีปัญหาแม้อยู่ระหว่างการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมาก แต่ก็จะมีพบช่วงที่เฟรมเรตตกได้ถ้ามีสิ่งก่อสร้างจำนวนมากปรากฏอยู่ในจอ
ทางด้านเพลงประกอบของเกมนี้ก็ยังคงประพันธ์โดยคุณ Keiichi Okabe ผู้ซึ่งแต่งเพลงให้ซีรีส์ Drag-on Dragoon มาตลอด เรียกว่าทั้งผู้เขียนบทและผู้แต่งเพลงคงจะใช้ทีมงานเดิมไปตลอดเพื่อเอาใจแฟนรุ่นเก่าๆ ซึ่งเกมนี้จัดว่าเป็นอีก 1 เกมที่เพลงมีความไพเราะอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงช่วงการเดินทาง ช่วงต่อสู้ ช่วงหดหู่ ก็ล้วนแล้วแต่มีเพลงประกอบที่เข้ากันได้อย่างพอดี ในฉากดราม่าที่กินใจของเกมนี้พอได้ฟังเพลงประกอบด้วยแล้วน่าจะมีผู้เล่นต้องเสียน้ำตากันหลายคนทีเดียว
จุดเด่น
1. ประเด็นของเนื้อเรื่องที่ทำออกมาในแนวมืดมน ชวนให้ติดตาม และมีฉากจบหลายแบบ
2. มีรูปแบบการเล่นหลากหลาย ทั้งแอ็กชั่นแนว 2D 3D รวมทั้งชู้ตติ้ง ตลอดจนขับหุ่นรบยิงต่อสู้แบบคลาสสิคด้วย แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เล็กน้อยแต่ก็ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศได้ดี ดูแสดงถึงความใส่ใจของผู้สร้างดีด้วย
3. ซับเควสต์ของเกมทำออกมาได้ดี มีเรื่องมีราว และไม่ได้ใช้เวลามากนัก
4. เสียงพากย์ของเหล่าตัวละครหลักในเกมทำออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นแบบอังกฤษหรือญี่ปุ่นก็ได้อารมณ์ รู้สึกว่าทีมพัฒนาทำการแคสติ้งได้เหมาะกับตัวละครดี
จุดด้อย
1. ความสวยงามของกราฟิกยังไม่อยู่ในระดับที่โดดเด่นนัก และยังมีปัญหาเรื่องความเสถียรรของเฟรมเรตในฉากที่มีรายละเอียดเยอะๆ
2. ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นจุดขายของเกมนี้ แต่บทพูดของตัวละครหลายส่วนที่น่าจะสำคัญก็ไม่ได้มีเสียงพากย์ ต้องอาศัยการอ่านเอาอย่างเดียว
3. แม้ว่าทางทีมงานต้องการจะให้ได้เล่นอย่างเรียบง่าย แต่แอ็กชั่นคอมโบในเกมจัดว่ายังค่อนข้างอ่อนด้อยไปสักหน่อย กล่าวคือใช้ท่าคอมโบแบบกดรัวๆ พื้นฐาน 3-4 ทีก็เพียงพอแล้วที่จะจบเกมได้แล้ว
สรุป
ถ้ามองลงลึกไปในเกม NieR: Automata จะว่าไปแล้วก็มีฉากแอ็กชั่นสนุกระดับทั่วไปครับ ไม่ได้เยี่ยมแต่ก็ไม่ได้แย่ แต่จะมีจุดเด่นอยู่ตรงเนื้อเรื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเสพเนื้อหาในเกม ซึ่งอาจจะต้องมีทักษะภาษาอยู่บ้างถึงจะเล่นสนุกเพราะต้องอาศัยการอ่านค่อนข้างมากตลอดทั้งเกม และเนื้อเรื่องในเกมนั้นถ้าจะให้สมบูรณ์ก็ต้องเล่นมากกว่า 3 รอบขึ้นไป เพราะจุดเปลี่ยนของแต่ละรอบนั้นจะมีลูกเล่นซ่อนอยู่ ผู้เล่นจะได้รับรู้เรื่องราวที่แตกต่างกันในแต่ละรอบ และก็จะได้รู้จักแง่มุมต่างๆ ของตัวละครทั้งตัวหลักและตัวรองเพิ่มขึ้นด้วยแน่นอน นอกจากนี้ฉากจบในเกมก็ยังมีอยู่ด้วยกัน 5 แบบขึ้นไป แต่จะเป็นเช่นไรนั้นอยากจะให้ลองมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ตรงนี้ขอย้ำหนักแน่นว่ายังไงเกมนี้ก็ไม่ใช่เกมที่มีจุดขายอยู่แค่กางเกงในของ 2B แน่ๆ ครับ
คะแนน 8 / 10