ทำไมหนัง Warcraft ถึงเจ๊ง

 

 

เมื่อกลางปี คอเกมทั้งหลายน่าจะได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Warcraft ซึ่งมาจากเกมPC สุดโด่งดัง โดยดัดแปลงมาเป็นหนังแฟนตาซีฟอร์มยักษ์ ซึ่งหนังก็ทำได้ดี แฟนเกมหลายคนถูกใจเป็นอย่างมาก จนหลายคนบอกว่ามันจะเป็นหนังที่ทำให้หนังจากเกมเกิดบนโลกจอมายาเสียที แต่ท้ายที่สุดมันไม่เป็นไปดั่งหวัง เพราะในอเมริกาหนังทำรายได้เพียงแค่ 47 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างกว่า 160 ล้านเหรียญ แม้จะมีตลาดทั่วโลกโดยเฉพาะจีนทำให้หนังมีรายได้อยู่ที่ 433 ล้านเหรียญ (สำหรับผู้ที่มองว่า หนังมันเจ๊งตรงไหน นักการตลาดได้วิเคราะห์ออกมาแล้วครับว่า หนังขาดทุนราวๆ 15 ล้านเหรียญแม้จะรวมรายได้ทั่วโลกก็ตาม ที่มาข่าว http://www.ign.com/articles/2016/07/13/warcraft-this-is-how-much-money-the-film-will-lose-even-with-massive-success-in-china ) ทำให้ทีมผู้สร้างยังพอยิ้มออกได้บ้าง แต่จากคำวิจารณ์โดยนักวิจารณ์ภาพยนตร์ทั่วไปกลับออกมาแย่ และความล้มเหลวในตลาดภาพยนตร์หลักของโลกนี้ เหตุใดทำไม Warcarft จึงไปไม่ถึงฝั่งฝันดังที่หลายๆคนอยากให้มันเป็น

 

 

จริงๆปัญหาที่ทำให้ Warcraft ไม่ประสบความสำเร็จมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหม่แต่อย่างใด มันเป็นปัญหาที่ค้างคาสำหรับหนังที่สร้างจากเกมมาช้านานแล้ว นั่นก็คือกลุ่มตลาดที่หนังต้องการ เพราะหนังจากเกมจะมีกลุ่มตลาดหลักๆ2กลุ่มคือ กลุ่มคนทั่วไป และ แฟนเกม และเกมถือเป็นสื่อบันเทิงที่เอามาดัดแปลงหนังได้ยากมาก หากต้องเจาะกลุ่มตลาด2กลุ่ม ไม่เหมือนพวกอเมริกันคอมมิคพวกนี้ อีกทั้งเนื้อหาเกมส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเหมาะนักในการนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ เวลาสร้างหนังจากเกมจึงเกิด 2 แนวทางคือ 1.เอาใจคนดูหนังทั่วไป แต่แฟนเกมด่ากันไม่มีชิ้นดี 2.เอาใจแฟนเกม แต่คนดูทั่วไปส่ายหน้า มันจึงไม่ค่อยมีความลงตัวเท่าไร ส่วนนึงเพราะว่าทีมงานที่ทำดัดแปลงเกมเป็นหนังยังไม่ค่อยเก่งกันด้วย

 

 

สำหรับ Warcraft จริงๆถ้ามองในแง่การตลาดของหนัง ที่ซื้อบัตรแจก Code ของ World of Warcraft หรือการเล่าเรื่องในตอนเริ่มต้นของจักรวาล ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าทำขึ้นมาเพื่อเป็นการโปรโมทเกมให้คนสนใจมากขึ้นสำหรับคนทั่วไป และตัวหนังฮิตก็ได้แฟนไชส์สำหรับหนังด้วย แต่เอาจริงๆตัวหนังกลับสร้างออกมาสนองนี๊ดแฟนๆเป็นหลักมากกว่า เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยฉาก ตัวละคร และสิ่งต่างๆที่ทำให้แฟนเกมต้องร้องกริ๊ดกร๊าด ฟิน ออกไปคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน

แต่มันไม่ได้ให้ความปราณีแก่คนดูทั่วไป อย่างที่หนังพยายามทำการตลาดให้

หนังเดินเรื่องมาพร้อมตัวละคร ศัพท์ต่างๆ ดินแดนต่างๆ ที่คนไม่ใช่แฟน Warcraft ต้องนั่งเกาหัว รวมถึงการปูพื้นของหนังไม่ค่อยดีนัก มันจึงทำให้คนทั่วไปอยู่ในกลุ่มดูไม่รู้เรื่อง และพาลไม่สนุกไปในทันทีแม้ว่าองค์ประกอบทั่วไปของหนังมันจะดีมากก็ตาม มันเลยเป็นเหตุให้หนังไม่เปรี้ยงอย่างที่ควรจะเป็น และด้วยตลาดคนทั่วไปสำหรับภาพยนตร์ มันเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าแฟนเกมอยู่แล้วด้วย จริงๆแล้วโลกของ Warcraft ควรจะทำหนังอย่างน้อย 2ชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างต่ำ หรือควรแยกออกเป็น2ภาค หากต้องการจะปูจักรวาลหนังจริงๆ ผลสุดท้ายสำหรับคนทั่วไป Warcraft จึงดูกลายเป็นหนังแฟนตาซีสงครามที่มีทั่วไปในตลาด ไม่ได้โดดเด่นอะไร จึงไม่แปลกที่หนังจะได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างแย่ และทำรายได้ในอเมริกาไม่เปรี้ยง กลายเป็นหนังเจ๊งในที่สุด

 

 

สุดท้าย Warcraft ก็กลายเป็นบทเรียนให้แก่สตูดิโอ Hollywood อีกบทเรียนนึงไปเกี่ยวกับการทำหนังจากเกมว่า ทำหนังเอาใจแฟนเกมสุดขีดมากไป มันก็ไม่เวิร์คเช่นกัน ปลายปีนี้เรายังมี Assasins Creed อีกเรื่อง ที่ยังต้องลุ้นว่า ยุคของหนังจากเกมจะเกิดขึ้นจริงๆหรือไม่

Warcraft ตอนนี้มีออกเป็นแผ่นแล้ว ใครยังไม่ดูไปหามาชมกันนะครับ

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้