Kingdoms of Amalur: Reckoning
ข้อมูลโดย Mohigan
ระบบควบคุม Xbox 360/PS3
X/สี่เหลี่ยม – อาวุธหลัก
Y/สามเหลี่ยม – อาวุธรอง, Toggle Map (World/Local)
B/วงกลม – การกลิ้ง/วาร์ป, หลบ
A/กากบาท – กดวิ่ง/คุย/สำรวจสิ่งของ
Start – เปิดหน้าเมนู
Back/ Select – เปิดหน้าแผนที่
Right Trigger/R2 – เปิดหน้าเมนูสกิล
Right Bumper/R1 – เข้าโหมดลอบเล้น (หมอบแล้วซุ่มไปฆ่าหรือปล้นของ)
Left Trigger/L1 – ป้องกัน
Left Bumper – เปิดหน้าเมนูติดตั้งใช้ไอเทม
D-Pad ซ้าย – กดใช้ไอเทมฟื้นพลัง
D-Pad ขวา – กดใช้ไอเทมฟื้นมานา
D-Pad ขึ้น – เปิดโหมดฆ่าขณะอยู่ในเมือง
การดำเนินเรื่องและการรับเควสต์

การดำเนินเรื่องในเกมนี้เป็นอะไรที่ง่ายและไม่ซับซ้อน โดยในโลกของ Amalur นั้นเป็นแบบโอเพ่นเวิล์ดผู้เล่นสามารถเดินไล่ตีมอนสเตอร์ไปตามทางได้เรื่อยเปื่อย ไม่จำเป็นจะต้องดำเนินตามเนื้อเป็นเส้นตรง ทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการเล่นค่อนข้างมาก อยากจะไปเก็บเลเวลหรือไล่ทำเควสต์ย่อยที่มีเยอะแยะมากมายก่อนก็ได้แล้วแต่ชอบ ซึ่งเคสวต์ย่อยต่างๆ ผู้เล่นสามารถหาได้จากการคุยกับ NPC ตามเมืองหรือสถานที่ต่างๆ โดยให้สังเกตจากตัว NPC ที่มีเครื่องหมายตกใจสีเหลืองบนหัวนั่นแปลว่าตัว NPC นั้นๆ มีเควสต์ย่อยให้เราทำ เมื่อทำสำเร็จก็จะได้รับของตอบแทน หรือไม่ก็เป็นการเปิดดันเจี้ยนใหม่ให้ค้นหาต่อ หรือถ้าอยากจะกลับมาทำเควสต์หลัก ก็มีไกด์นำทางง่ายๆ โดยให้กดเข้าหน้าเมนูแล้วเลือกหัวข้อ Quests แล้วกดติ๊กไปที่หัวข้อ Main ก็จะมีเนวิเกเตอร์บอกทางขึ้นบนแผนที่มุมขวาของหน้าจอโดยจะเป็นไอคอนวงกลมสีเหลือง ให้วิ่งไปตามจุดนั้นก็จะพบทางไปเนื้อเรื่องต่อ ซึ่งตัวเนวิเกเตอร์นี้จะช่วยบอกทางไปทำเควสต์ย่อยอื่นๆ ด้วย เพียงแค่เลือกหัวข้อ Quest แล้วติ๊กไปที่หัวข้อเควสต์ย่อยที่เรารับมาตัวเนวิเกเตอร์ก็จะช่วยบอกทำให้เราไปทำเควสต์ผ่านได้ง่ายๆ เลยถึงแม้เราจะอ่านและแปลไม่ออกก็ตาม *-*
การเก็บเลเวล
เกมนี้เลเวลสูงสุดที่ 40 ผู้เล่นสามารถเก็บ EXP เพื่ออัพเลเวลได้หลายทาง เริ่มตั้งแต่จัดการมอนสเตอร์ ทำเควสต์ย่อย หรือแม้กระทั่งเดินสำรวจเปิดแผนที่ใหม่ก็ได้ EXP เช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่จะเก็บเลเวลให้เต็ม 40 นั้นง่ายมากๆ
อาวุธและเครื่องป้องกัน
ในโลก Amalur นั้นมีอาวุธและเครื่องป้องกันให้เลือกใช้มากมาย โดยเฉพาะส่วนอาวุธก็มีให้เลือกใช้ถึง 9 ชนิด อาทิ ดาบ, ดาบใหญ่, ค้อน, มีด, ธนู และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไอเทมเหล่านี้สามารถหาซื้อได้จากร้านค้าหรือดรอปจากมอนสเตอร์ ของแต่ละชิ้นนั้นก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างๆ กัน และแบ่งออกเป็น 4 เกรด โดยแยกเป็น 4 สีไล่ระดับ คือ ขาว เขียว ฟ้า ม่วง และเหลือง ซึ่งสีเหลืองนั้นจะพิเศษกว่าเพื่อนเพราะจะเป็นไอเทมเซ็ต ถ้าสะสมครบเซ็ตก็จะมีคุณสมบัติเพิ่มมาให้ใช้ ชนิดที่ดีมากๆ แต่ก็หายากมากๆ เช่นกัน (นึกว่าภาพไม่ออกก็ให้นึกภาพไอเทมเซ็ตใน Diablo เอาได้เลย แบบเดียวกันเป๊ะ!) และนอกจากจะแยกแบ่งเกรดแล้ว ยังแบ่งแยกประเภทชุดตามสายคลาสด้วย ใช่ว่าทุกตัวละครจะใส่ได้หมด เพราะถ้าเราเล่นสายเวทย์ แต่ถ้าจะไปใส่เกราะหนักก็ไมได้เพราะค่าสเตตัสไม่พอที่จะใส่ ดังนั้นต้องดูให้ดีๆ
การเลือกเผ่าในการเล่น
ในเกมผู้เล่นสามารถเลือกสร้างตัวละครได้ 4 เผ่าด้วยกัน ซึ่งแต่ละเผ่าก็จะมีความสามารถและความถนัดแตกต่างกันไป แต่ก็ส่งผลเฉพาะแค่ช่วงเริ่มเกมเท่านั้น เมื่อผู้เล่นดำเนินเรื่องไปถึงเลเวลสูง ผู้เล่นสามารถที่จะรีสกิลและสเตตัสใหม่ใหม่ได้ตลอดเวลา
Almain – สกิลเริ่มต้น = Alchemy +1, Persuasion +1, Blacksmith +1
Varani – สกิลเริ่มต้น = Mercantile +1, Lockpicking +2, Detect Hidden +1
Ljosalfar – สกิลเริ่มต้น = Alcemy +1, Dispelling +2, Sagecraft +1
Dokkalfar – สกิลเริ่มต้น = Stealth +2, Persuasion +1, Sagecraft +1
วิธีการเลือกสายการเล่น (Fateweaver)
ในโลกของ Amalur แบ่งสายการเล่นผู้เล่นออกเป็น 7 สาย ผู้เล่นสามารถเลือกสไตล์การเล่นได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นบู๊ล้างผลาญ ตุ้ดซุ่มยิง หรือสายเวทย์ยิงกระจายทลายล้างโลก ในเกมได้ใช้ชื่อในการแบ่งสายเป็น Might, Finesse และ Sorcery เป็น 3 สายหลัก ถ้าเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถนำมามิกซ์ มาปรับรวมทั้ง 3 สายเข้าด้วยกันเป็นอีก 4 สายที่แยกไปตามความชอบของเรา ซึ่งแต่ละสายจะมีจุดเด่นยังไงมาดูกันครับ
สาย Might
แบ่งออกเป็น 6 ระดับดังนี้: Brawler, Fighter, Soldier, Warrior, Conqueror และ Warlord
ความสามารถ เมื่ออัพเกรดครบ 109 พอยท์s ในสาย Might
– เพิ่งพลังโจมตีทางกายภาพ 30%
– เพิ่มโอกาสบล็อก 30%
– เพิ่มระยเวลาสตั๊น 20%
– เพิ่มโอกาสสตั๊น 20%
– เมื่อโจมตีจนตายจะฟื้นชีวิตอัตโนมัติพร้อมเลือด 20% และจะดูดเลือดจากศัตรูจนกว่าจะตาย
รูปแบบการเล่น
– เป็นสายเบสิกสำหรับผู้เล่น เน้นการโจมตีระยะประชิดเป็นหลัก เดินไล่ล่าฆ่าฟัน ไล่ทุบศัตรูทุกตัวที่ขวางหน้า ใส่เครื่องอาวุธ ป้องกันขนาดใหญ่ได้ มีพลังโจมตี พลังป้องกัน เลือดสูงตั้งแต่แรก ทำให้ง่ายต่อการเล่น แต่พลังในส่วนเวทย์จะน้อย ทำให้กดใช้สกิลได้ไม่ค่อยต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ค่อยสำคัญเพราะถ้าเล่นสายนี้เน้นคลุกเข้าวงในแล้วฟันจัดหนักมากกว่า
– อาวุธที่สายนี้ใช้เป็นหลักจะเป็นพวกดาบ, เล็ก, ใหญ่, ค้อน ซึ่งอาวุธแต่ละชนิดก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน ยิ่งใหญ่พลังโจมตีก็ยิ่งเยอะ แต่เวลาเหวี่ยงโจมตีก็จะลดลงความขนาดอาวุธที่ใช้เล่นกัน แต่ไม่มีปัญหา เพราะถ้าฝึกโจมตีให้ชิน พร้อมกับฝึกใช้โล่คล่องๆ นี่ศัตรูมาเท่าไหร่ก็ไม่ต้องกลัว กวาดเรียบแน่นอน!
สาย Finesse
แบ่งออกเป็น 6 ระดับ: Rogue, Scout, Hunter, Ranger, Assassin และ Nightblade
ความสามารถเมื่ออัพ 109 พอยท์ ในสาย Finesse
– เพิ่มดาเมจเมื่อโจมตีระยะไกล 30%
– เพิ่มพลังป้องกัน 60% ขณะหลบการโจมตี
– เพิ่มโอกาสคริติคอล 12%
– เพิ่มดาเมจแบบเจาะเกราะ 20%
– เมื่อใช้ทักษะซุ่มจะมีโอกาศทำดาเมจใส่ศัตรูติดเป็นคริติคอล 300%
– เพิ่มโอกาสหลบหลีก 11%
รูปแบบการเล่น
– สายนี้จะเน้นการซุ่มโจมตีเป็นหลัก มีเลือดและพลังป้องกันที่ค่อนข้างน้อยแต่ก็มี่ความว่องไวมาเติมช่องว่างที่หายไป สายนี้จะเน้นการซุ่มโจมตีเป็นหลัก โดยถ้าเป็นระยะใกล้จะสามารถย่องเบาเข้าไปจิ้มศัตรูได้ ซึ่งดาเมจก็รุนแรงขนาดจิ้มที่เดียวตาย แต่ต้องซุ่มเข้าไปอย่าให้ศัตรูรู้ตัวนะ ส่วนระยะไกลก็ใช้ธนูยิงสอยเอาได้เลย ทั้งยิง ทั้งชาร์จ ทั้งท่าสกิล อัพให้เก่งๆ ศัตรูเข้าไม่ถึงตัวแน่นอน
– อาวุธที่ใช้ของสายนี้จะเป็นประเภทมีดสั้นและธนู ซึ่งในส่วนมีดนั้นจะสามารถโจมตีรัวได้เร็วมากขนาดศัตรูโต้กลับไม่ทันเลยทีเดียว แต่ดาเมจก็จะเบามากเช่นกัน ส่วนมากจะเน้นใส่มีดแล้วย่องเบาจิ้มหลังศัตรูมากกว่า ส่วนธนูคงไม่ต้องบอกว่าใช้ยังไง ยิงรัวยัดใส่ศัตรูเท่านั้น ยิ่งอัพเลเวลสูงนี่นึกว่าพกปืน M16 รัวยับศัตรูยังมองไม่หน้าเราเลย
สาย Sorcery
แบ่งออกเป็น 6 ระดับ: Acolyte, Initiate, Seer, Sage, Sorcerer และ Archmage
ความสามารถเมื่ออัพ 109 พอยท์ ในสาย Sorcery
– เพิ่มความแรงเมื่อโจมตีด้วยธาตุ 50%
– ลดการใช้มานา ลง 25%
– ฟื้นมานา 3 แต้มทุกวินาที
– เพิ่มระยะเวลาของเวทย์มีผลเพิ่มขึ้น 25%
– ขณะวาร์ปหนี ระยะ 3 ช่องที่วาร์ปออกจะติดสถานะน้ำแข็ง
– เพิ่มโอกาสได้ค่า Fate มากขึ้นหลังจากจัดการศัตรู
รูปแบบการเล่น
– สายที่เน้นการโจมตีด้วยเวทมนตร์เป็นหลัก มีเลือดและพลังป้องกันน้อย แต่มีมานาให้ใช้เหลือเฟือ (ตอนแรกอาจยังมีให้น้อย แต่อัพไปถึงขั้น 3 แล้วสบาย!) และมีท่าวาร์ปไว้หนีศัตรูที่เข้ามาโจมตีใกล้ๆ ถือว่าดีมากๆ สำหรับนักเวทย์เพราะถึงแม้จะโดนไล่ต้อนจนมุมก็สามารถวาร์ปหนีออกมาได้ทันที มีท่าโจมตีที่รุนแรงและหลากหลาย แต่ต้องฝึกสเต็ปการเล่นให้ดี เพราะถ้าพลาดก็มีนอนง่ายๆ เช่นกัน
– อาวุธที่ใช้สายนี้จะเป็นพวกไม้เท้า คทา และกงจักร ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับสายเวทย์ โดยเฉพาะไม้เท้าและคทานั้นพลังโจมตีจะเป็นไปตามธาตุที่ใช้ ดังนั้นแม้เป็นการโจมตีธรรมดาแต่ก็เหมือนกับร่ายเวทย์ใส่ศัตรูระยะประชิดนั้นเอง ส่วนทีเด็ดสุดก็ต้องเป็นกงจักร ถึงแม้ว่าจะไม่คิดดาเมจจากธาตุเต็มๆ แต่มีรูปแบบการโจมตีในวงกว้าง สามารถโจมตีได้ไกลแล้วทำดาเมจใส่ศัตรูพร้อมกันได้หลายตัว แนะนำว่าไปหาติดตัวมาใช้ซะ!
สาย Finesse + Sorcery
แบ่งออกเป็น 6 ระดับ: Disciple, Arcanist, Warlock, Spellcloak และ Shadowcaster
ความสามารถเมื่ออัพพอยท์ Finesse + Sorcery อย่างละ 55 แต้ม
– เพิ่มดาเมจเมื่อโจมตีด้วยธาตุ 34%
– เพิ่มดาเมจแบบเจาะเกราะ 20%
– เพิ่มโอกาสโจมตีติดคริติคอล 12%
– ฟื้นมานา 2 แต้มทุกวินาที
– ถ้าศัตรูติดสถานะ Panic จะทำให้โจมตีติคริติคอลตลอด
– เมื่อทำการวาร์ปหนีศัตรู ระยะ 3 ช่องที่วาร์ปหนีออกมาจะติสถานะพิษ
– โจมตีติคริติคอลใส่ศัตรูจะดูดมานาได้ด้วย
สกิลแนะนำ: Assassins Art, Shadow Flare, Envenomed Edge, Smoke Bomb, Blade Honing, Mark of Flame, Healing Surge และ Elemental Rage (อัพสกิล Smolder, Chain Lightning และ Frost Shackle ให้เต็ม)
รูปแบบการเล่น
– เป็นการผสมสไตล์การเล่น 2 แบบคือ Finesse + Sorcery คือเน้นว่องไว ซุ่มโจมตี และใช้เวทย์ผสมไปด้วย ทำให้มีท่าโจมตีที่หลากหลาย นับเป็นอีกสายที่น่าสนใจ แต่ว่าการเล่นสายนี้จำเป็นจะต้องแบ่งพอยท์ในการอัพให้ลงทั้ง 2 สาย ทำให้ไม่สามารถใส่เครื่องป้องกันระดับสูงได้แต่แรก ดังนั้นพลังป้องกันของสายนี้เรียกได้ว่าปวกเปียกทีเดียว แต่ส่วนด้อยนั้นก็ถูกชดเชยด้วยการโจมตีที่หลากหลายขึ้นมาแทน ซึ่งถ้าฝึกรูปแบบการเล่นในแบบซุ่มโจมตีพร้อมอัดเวทย์คอยเสริมให้ชินได้ละก็ จัดว่าสายนี้โหดไม่เบาเลยทีเดียว
สาย Might + Sorcery
แบ่งออกเป็น 6 ระดับ: Guardian, Battlemage, Crusader, Paragon และ Champion
ความสามารถเมื่อ Might + Sorcery สายละ 55 แต้ม
– ได้รับมานา 75% จากดาเมจที่โจมตี
– เพิ่มพลังป้องกันทางธาตุ 25%
– เพิ่มพลังป้องกันทางกายภาพ 20%
– เพิ่มพลังป้องกันทุกอย่าง 15%
– เปลี่ยนท่ากลิ้งหลบเป็นวาร์ปหนีระยะใกล้
– มีโอกาสสร้างกระสนุธาตุเมื่อจัดการศัตรูได้
สกิลแนะนำ: Relentless Assault, Battle Frenzy, Concussive Force, Storm Bolt/Tempest, Healing Surge และ Elemental Rage
รูปแบบการเล่น
– เป็นสายที่ถึกสุดจากทั้ง 7 สาย เพราะเป็นการรวมความสามารถสองสายหลัก ทั้งความถึกจากพลังป้องกันทางกายภาพแล้ว ยังถึกต่อการป้องกันเวทย์ต่างๆ ทำให้สายนี้สามารถเข้าไปตะลุมบอนกับศัตรูทุกประเภทได้แบบไม่ต้องกลัวใคร จะถือดาบ เหวี่ยงค้อนไล่ทุบ หรือยิงเวทย์มนต์เข้าใส่ก็แล้วแต่สะดวก ถึงแม้พลังโจมตีจะไม่สูงเหมือนสาย Might หรือเวทย์รุนแรงเต็มสูบเหมือนสาย Sorcery แต่จากการมิกซ์และแมตช์ของสอง สายนี้ ทำให้ตัวละครเราโหดใช่เล่นเลยนะ ที่สำคัญการรวมสายแบบนี้ ทำให้ตัวเราวาร์ปหนีแทนการกลิ้งด้วย แจ่มโคตร!
สาย Might + Finesse
แบ่งออกเป็น 6 ระดับ: Duelist, Warden, Avenger, Slayer และ Blademaster
ความสามารถเมื่ออัพ Might + Finesse สายละ 55 แต้ม
– เพิ่มดาเมจทางกายภาพ 25%
– เพิ่มดาเมจระยะไกล 20%
– เพิ่มโอกาศโจมตีติดคริติคอล 12%
– เพิ่มดาเมจโจมตีเจาะเกราะ 15%
– เพิ่มดาเมจ 25% เมื่อทำการซุ่มโจมตี
– เพิ่มดาเมจท่าเชือดคอ 15% เพิ่มโอกาส 1% โจมตีแล้วขโมยเลือดศัตรู เพิ่มโอกาสดรอปเงิน 20% เมื่อจัดการศัตรู
สกิลแนะนำ: Assassins Art, Envenomed Edge, Shadow Flare, Blade Honing, Smoke Bomb, Quake, Relentless Assault, Battle Frenzy และสกิลสายธนูทั้งหมด
รูปแบบการเล่น
– จุดเด่นของสายนี้คือใช้อาวุธได้หลากหลาย ทั้งอาวุธหนักและอาวุธเบา ว่องไว ทำดาเมจได้รุนแรงต่อเนื่อง รูปแบบการโจมตีจะเน้นออกไปทางสาย Finesse ซะมากกว่า แต่ได้ความถึกกับความแรงเพิ่มขึ้นจากความสามารถสาย Might ทำให้ดูเหมือนจะเก่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยการที่โจมตีไวและคริมากกว่า เน้นฟันดูดพลังเท่านั้นล่ะ
สาย Might + Finesse + Sorcery
แบ่งออกเป็น 6 ระดับ: Seeker, Wayfarer, Adventurer, Prodigy, Polymath และ Universalist
ความสามารถเมื่ออัพ Might + Finesse + Sorcery สายละ 37 แต้ม
– เพิ่มดาเมจทางกายภาพ 20%
– เพิ่มดาเมจระยะไกล 20%
– เพิ่มพลังโจมตีทางเวทย์ 20%
– ลดค่าความต้องการพื้นฐานในการสวมใส่อาวุธและเครื่องป้องกันลง 25%
– เพิ่มสกิล 3 แต้มทุกสกิลที่อัพ
– เพิ่มพลังป้องธาตุทุกชนิด 12%
– เพิ่มโอกาสโจมตีติคริติคอล 10%
– ปลดล็อกอะบิลิตี้อาวุธทุกชนิดในเกม
สกิลแนะนำ: Relentless Assault, Quake และ Healing Surge
รูปแบบการเล่น
– เป็นการรวมความสามารถของทั้ง 3 สายเข้าด้วยกัน ทำให้ตัวละครนี้มีความสามารถในการใช้สกิลได้ทั้งหมดของทุกอาชีพ แต่ทว่ากว่าจะได้สกิลโหดมาใช้ ก็ต้องเลเวลเกือบเต็มนู่นล่ะ เพราะจะต้องค่อยแบ่งสกิลให้กับสายอื่นๆ เท่ากัน ซึ่งนั่นหมายความว่าการจะเล่นสายนี้ตั้งแต่เริ่มต้นนั้นเป็นการเล่นที่ยากนรกแตกมาก แต่ถ้าผ่านช่วงแรกไปได้จะพบว่าสายนี่มันสุดๆ ไปเลย เพราะสายนี้จะมีความสามารถพิเศษคือ ลดค่า Equip Requirement ลง 25% ตั้งแต่ระดับที่ 2 ทำให้อาชีพนี้สามารถส่วมใส่เกราะได้ทุกสาย แถมเลือกใช้สกิลได้ทุกแบบ แค่ลองคิดเล่นๆ ก็เจ๋งแล้วใช่มั้ยล่ะ *-*
ข้อมูลสกิลติดตัว
เมื่อเลเวลอัพ ผู้เล่นจะได้เลือกว่าจะอัพสกิลอะไรเพิ่มให้กับตัวละคร โดย 1 เลเวล จะสามารถเลือกอัพได้ 3 พอยท์ แต่ละสกิลก็จะมีความสามารถแตกต่างกันดังนี้
Detect Hidden
สกิลสำหรับค้นหาไอเทมและสิ่งของที่ถูกซ่อนตามสถานที่ต่างๆ ทั้งภายในดันเจี้ยนและตามสถานที่ต่างๆ เป็นอีกสกิลที่สำคัญถ้าผู้เล่นต้องการที่จะค้นหาไอเทมต่างๆ ให้ครบ อัพแค่ 5 เลเวลก็เพียงพอที่จะค้นหาทุกอย่างพบแล้ว ไม่จำเป็นต้องอัพไปเกินกว่านั้นให้เปลืองพอยท์
Sagecraft
สกิลสำหรับสร้างและแยกธาตุสำหรับสร้าง Gem เพื่อเพิ่มความสามารถต่างๆ ในการต่อสู้ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสกิลนี้เป็นถือว่าเป็นสกิลที่ควรจะอัพไว้ใช้ตั้งแต่ต้น เพราะการนำ Gem เหล่านี้มาใส่ในอาวุธหรือเครื่องป้องกันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ได้ดีมากเลย
Blacksmithing
เป็นอีกสกิลสำคัญที่ต้องอัพติดตัว สกิลนี้จะทำให้ผู้เล่นสามารถแยกชิ้นส่วนอาวุธที่ไม่ใช้เพื่อเอาวัตถุดิบมาสร้างอาวุธเครื่องป้องกันใหม่ๆ ที่มีความสามารถดีกว่าเดิมมาใช้ได้ และที่สำคัญถ้าอัพสกิลนี้ผู้เล่นจะสามารถใช้ไอเทม Repair Kit สำหรับซ่อมอาวุธเครื่องป้องกันได้เอง ไม่ต้องไปเสียค่าซ่อมแพงหูฉี่ในเมืองต่างๆ อีกด้วย
Alchemy
สกิลสำหรับสร้างโพชั่นเพื่อใช้ฟื้นฟูหรือช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ ซึ่งสกิลนี้จะอัพหรือไม่อัพก็ได้แล้วแต่ เราจะหาวัตถุดิบได้ตามสถานที่ต่างๆ โดยจะอยู่ในรูปแบบต้นไม้ต่างๆ แต่การสร้างจะต้องมีตำรา ซึ่งจะหาซื้อได้ตามร้าน เก็บเอาตามตู้ หรือฝึกทำไอเทมชิ้นนั้นๆ บ่อย แต่มีวิธีง่ายๆ กว่านั้นคือให้ออนไลน์แล้วไปหาตำราอ่านเอาจะปลดล็อกได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาทำ *-*
Dispelling
เป็นอีกสกิลสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถเปิดหีบสมบัติ (ที่มีไอสีม่วงล้อมรอบ) ได้ง่ายขึ้น แนะนำให้อัพให้ถึงเลเวล 4 จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเปิดได้ง่ายขึ้นเยอะเลย เพราะมันจะทำให้วงแหวนในการปลดล็อกหมุนช้าลงด้วย
Persuasion
สกิลสำหรับเพิ่มโอกาสในการชักจูงความคิดเหล่า NPC ในโลก Amalur ซึ่งระหว่างดำเนินเรื่องเราจะพบเจอผู้คนมากมายและจะมีตอบคำถามตลอด ถ้าอัพสกิลนี้จะเพิ่มโอกาสสำเร็จในการชักจูงและช่วยให้ได้ไอเทมดีๆ ตอบแทนจาก NPC เหล่านั้นด้วย
Mercantile
สกิลนี้จะทำให้สามารถขายของได้ในราคาที่แพงขึ้นและซื้อของได้ในราคาที่ถูกลง อาจจะมีประโยชน์ในช่วงแรกๆ แต่ช่วงหลังๆ ที่เงินเหลือจนใช้ไม่รู้จะเอาไปทำไรเพราะของดีๆ ส่วนมาก เราก็สร้างเองไม่ก็เน้นดรอปจากเควสต์ซะมากกว่า
Stealth
สกิลเพิ่มอัตราการหลบหลีก และซ่อนเร้น เหมาะสำหรับสาย Finesse ในการซุ่มโจมตี แต่สำหรับสายอื่นแทบไม่มีประโยชน์ อาจจะมีแค่เพิ่มโอกาสในการค้นของในบ้าน ในเมืองโดยไม่ถูกจับได้เท่านั้นเอง
Lockpicking
สกิลสำหรับเพิ่มโอกาสในกาศเปิดหีบสมบัติแบบ Locpick (ใช้เข็มแหย่เพื่อปลดล็อกแทนกุญแจ) บอกได้เลยว่าเป็นสกิลที่ไร้ประโยชน์ เก็บพอยท์ไว้อัพสกิลอื่นดีกว่า เพราะวิธีปลดล็อกหีบนี้ง่ายมาก เพียงแค่ค่อยๆ เลื่อน ถ้าเข็มสั่น ให้หยุดแล้วค่อยๆ หมุนไปทางอื่นก็จะเปิดได้อย่างง่ายๆ
เทคนิคการต่อสู้
ในช่วงเริ่มแรกของเกม ตัวละครของเราจะเน้นแอ็กชั่นธรรมดาคือ ฟัน กลิ้งหลบ ยกโล่กัน แต่ว่าเมื่ออัพเลเวลสูงขึ้น ตัวละครของเราจะมีความสามารถหลากหลายขึ้นแล้วแต่ตัวละคร เช่น สาย Might ก็จะมีคอมโบให้กดเพิ่มเติม ทำให้สามารถโจมตีต่อเนื่องเว่อร์ๆ หรือ สาย Sorcery ก็จะสามารถร่ายเวทย์อลังๆ จัดการศัตรูพร้อมกับวาร์ปหนีศัตรูได้ด้วย ซึ่งจะทำให้การเล่นหลากหลายมากขึ้น และปิดท้ายด้วยท่าพิเศษเฉพาะตัวที่เรียกว่า Reckoning ท่านี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเกจสีม่วงใต้หลอดพลังของเราเต็ม เมื่อเต็มแล้วให้กดปุ่ม LT, RT หรือ L2, R2 พร้อมกัน จะเป็นการระเบิดพลัง ทำให้เวลารอบตัวเราช้าลงและพลังโจมตีเพิ่มขึ้น ในระหว่างนี้ถ้าจัดการศัตรูจนหมดหลอดจะมีปุ่มให้กดท่า Finish ให้เราดูได้อีกด้วย ซึ่งท่านี้มีประโยชน์มากๆ ในการใช้ปราบบอสหรือศัตรูตัวยากๆ กะจังหวะใช้ให้ดีๆ ล่ะ
เทคนิคเปิดหีบสีม่วง (Dispel Ward)
วิธีการ Dispel Ward นั้น ผู้เล่นจะต้องกดสัญลักษณ์เขี้ยวเรียงตามลำดับให้ได้ครบก่อนแถบเวลาที่แสดงอยู่มุมขวาบนจะหมด (หากหมดถือว่าล้มเหลวและคุณจะโดนดาเมจจากการเปิดหีบ) วิธีการเปิดก็ไม่มีอะไรมากเพียงแต่ต้องอาศัยความเร็วและจังหวะในการกดสัญลักษณ์ต่างๆ ดูจากภาพประกอบนี่คือ Ward ระดับ 2 ซึ่งสังเกตได้จากรูปสัญลักษณ์เขี้ยวซึ่งสูงสุดที่ 2 เขี้ยว (วงกลมสีม่วง) การจะ Dispel Ward ตัวนี้ ผู้เล่นจะต้องกดสัญลักษณ์เขี้ยว 1 อันให้ครบทั้งหมดก่อน จากนั้นจึงกดที่สัญลักษณ์เขี้ยว 2 อัน แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่ตรงที่สัญลักษณ์ทุกตัวจะมีเวลาเฉพาะของมัน เมื่อคุณกดสัญลักษณ์ไปแล้ว แถบเวลาที่แสดงด้วยวงกลมสีเขียวจะเริ่มปรากฏขึ้น (รอบสัญลักษณ์) หากแถบสีเขียวนี้เต็มวงที่สัญลักษณ์ตัวไหน หมายถึงการกดสัญลักษณ์ตัวนั้นถูกยกเลิก และคุณต้องไปกดมันใหม่อีกครั้ง ซึ่งเมื่อกดสัญลักษณ์ที่เหมือนกันได้ครบภายในเวลาที่กำหนดไว้ คุณค่อยไปกดสัญลักษณ์ที่อยู่ในลำดับถัดไป (ในภาพคือกดสัญลักษณ์ 1 เขี้ยวให้ครบก่อน จากนั้นไปกดสัญลักษณ์ 2 เขี้ยว)
เนื่องจากความยากง่ายของ Dispel Ward ขึ้นอยู่กับทักษะการอัพสกิล Dispel และสมบัติภายในหีบ จึงมีโอกาสสูงมากที่คุณจะเจอกับ Ward ระดับสูงๆ ซึ่งต้องกดสัญลักษณ์มากมายเพื่อปลดล็อก ซึ่งบางหีบก็จะมีสัญลักษณ์สีแดงๆ ห้ามกดไปโดน ที่เหลือก็ใช้เทคนิคในการ Dispel อย่างที่ได้อธิบายไป โปรดจำเอาไว้ง่ายๆ ว่ากดสัญลักษณ์ที่มีลำดับน้อยสุดให้ครบทุกอันก่อน จากนั้นค่อยเขยิบไปกดสัญลักษณ์ลำดับต่อไปจนกว่าจะครบทั้งหมด คุณก็จะสามารถเปิดหีบได้อย่างปลอดภัยแล้ว