สวัสดีค่ะ ในวันนี้ทาง Dragon Nest ก็จะมีการอัพเดต Cerberus Nest Hell Mode เพิ่มเข้ามา ซึ่ง Hell Mode ต่างจากโหมดปรกติตรงที่ว่า Hell Mode จะไม่ดรอปไอเทมคราฟท์ใดๆ ทั้งสิ้น และจะดรอปแต่เครื่องประดับระดับ Epic เท่านั้น ใครที่รอคอยเซทเครื่องประดับ Epic Level 32 คงจะได้สมหวังกันแล้วในแพตช์ที่จะอัพเดตเข้าในวันนี้ เอาหล่ะค่ะ เราไปดูเทคนิคตะลุยรังหมานรกแบบโหมดนรกจากกิลด์ NEXUS สาขา SEA กันเลยค่ะ ^^
เทคนิคในการตะลุยแต่ละ Area
ภาพแผนที่เส้นทางภายใน Cerberus Nest
Area 1 : พี่น้องมิโนทอร์ (วัวขาวและวัวดำ)
ในด่านนี้ จะแตกต่างจากโหมดปรกติตรงที่ว่า จะมีเหล่ากำลังเสริม Orc มาช่วยเจ้าวัว 2 ตัวนี้ในการรุมสะกรัมเรา ดังนั้นเทคนิคในการเคลียร์ด่านนี้คือ ฆ่าวัวสีขาวให้ไวที่สุดเพื่อป้องกันการใช้บัฟ และจัดการกับวัวสีดำหลังจากนั้น
สกิลวัวสีขาว
– Stomp : ทำให้เคลื่อนไหวและโจมตีได้ช้าลง
– Frontal Roar : สกิลเป่า ทำให้ตัวละครของเราปลิวกระเด็นและรับดาเมจจากการโจมตีพอสมควร
– Red Aura : จะใช้เมื่อเลือดเหลือ 2x หลอด หรือน้อยกว่า จะเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวและโจมตีให้เร็วขึ้น
สกิลวัวสีดำ
– Front Shove : เหวี่ยงด้านขวานมากระแทกตัวละครของเรา
– Normal Cleave Attack : สกิลเหวี่ยงขวาน
– Black Holde Cleave Attack : จะใช้เมื่อเลือดเหลือ 2x หลอด โดยจะดูดตัวละครของเราเข้าหาตัวและทำความเสียหายให้กับตัวละคร
Area 2 : Dark Element Armored Sword Master
ในด่านนี้ จะแตกต่างจากโหมดปรกติตรงที่จะมี Orc คอยยิงปืนใหญ่ใส่เราจากหน้าผาทั้ง 2 ฝั่ง ระวังอย่ายืนอยู่นิ่งๆ จุดใดจุดหนึ่งนานเกิน 2 วินาที มิฉะนั้นอาจจะโดนปืนใหญ่ยิงและทำให้ล้มได้ เทคนิคในการเคลียร์ด่านนี้คือ อาศัยลูกระเบิดที่โยนลงมาช่วยทำให้มอนสเตอร์ล้ม และจัดการเหล่าลูกสมุนให้เสร็จก่อน เนื่องจากจะมีตัวที่คอยปาระเบิดใส่เราด้วย และหลังจากนั้นจึงค่อยจัดการกับบอสในด่านนนี้ ระวังอย่าให้เลือดหายไปมากกว่า 20% เพราะอาจจะเหนื่อยในด่านถัดไป
Area 3 : Summoner
ในด่านนี้ จะแตกต่างจากโหมดปรกติตรงที่จะมี Ghoul ออกมา 2 ตัวเพิ่มขึ้น โดยที่ Suicide Bombers (Ghoul สีแดง) จะมาระเบิดตัวใส่เราและ Freezing Ghoul (Ghoul สีน้ำเงิน) จะคอยแช่แข็งตัวละครของเรา นอกจากนี้แล้วยังมีโครงกระดูกอีก 4 ตัว และโครงกระดูกใส่เกราะอีก 4 ตัวคอยรุมเราก่อนเจอบอสในด่านนี้ เทคนิคในการเคลียร์ด่านนี้คือ อย่าอยู่นิ่งๆ และให้ใช้สกิลหมู่รีบจัดการเจ้าลูกสมุนให้เสร็จโดยเร็วแล้ว เพื่อที่จะให้บอสลงมาจากแท่นยืน
สกิลของ Summoner
– Time Stop : สกิลหยุดเวลา เมื่อโดนจะเคลื่อนไหวไม่ได้ 5 วินาที
– AOE Slow : : จะใช้เมื่อเลือดเหลือ 2x หลอด เป็นสกิลหลุมดำเล็กๆ สกิลหนึ่ง ที่จะทำให้เราเคลื่อนที่ได้ช้าลงพร้อมทั้งทำดาเมจให้กับตัวละครด้วย พร้อมทั้งสกิลฝนกรดที่จะค่อยๆ ลดเลือด
Area 4 : Time Sink Stage
ในด่านนี้ จะแตกต่างจากโหมดปรกติตรงที่ Orc Commanders และ Orc Shamans เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้นในการจัดการเคลียร์มอนสเตอร์ในด่านนี้ให้หมด เทคนิคในการเคลียร์ด่านนี้คือ อย่าอยู่นิ่งๆ เช่นกันไม่งั้นก็อาจจะโดนฝูงมอนสเตอร์เข้ามารุมจนเลือดลดและโจมตีได้ลำบาก และใช้สกิลหมู่ให้มากที่สุด เพื่อที่จะจัดการมอนสเตอร์ได้ครั้งละมากๆ
Area 5 : 2 พี่น้อง Rhino (Slave และ Commander)
ในด่านนี้ จะแตกต่างจากโหมดปรกติตรงที่จะต้องฆ่าทั้ง 2 ตัวให้ตายห่างกันในระยะเวลาไม่เกิน 5 วินาทีเท่านั้น (โหมดปรกติ 10 วินาที) นอกจากนี้แล้ว 2 พี่น้องแรดยังมีสกิลที่ฮีลตัวเองได้อีกด้วย ทำให้โจมตีเท่าไร ก็จะฮีลกลับมา โดยเมื่อตัวหนึ่งฮีล อีกสักพักอีกตัวก็จะฮีลตาม ให้คอยสังเกตว่า Commander ซึ่งใส่หน้ากากเหล็กที่มี 2 เขาจะใช้สกิลติดพิษ ซึ่งจะเป็นสกิลที่จะอ้วกพิษออกมา ให้คอยกระโดดหลบให้ดี และมี Magic Defense ที่สูง ส่วนอีกตัว Slave จะมีแค่ 1 นอ และจะแพ้ทางธาตุแสง ซึ่งควรจะให้พระคอยจัดการตัวนี้ให้อยู่หมัดโดยเร็ว
Final Stage : Boss Cerberus
บอส Cerberus ใน Hell Mode จะแตกต่างจากโหมดปรกติคือ มีสารพัดสกิลโจมตีพร้อมทั้งดาเมจที่แรงเพิ่มขึ้น ซึ่งใน Hell Mode เจ้าบอสหมาจากนรกมีสกิลดังนี้
Firewall
เป็นสกิลเดียวกันกับ Firewall ของ Elemnetal Lord และอาจจะเป็นสกิลที่โดนทีเดียวแล้วสามารถนอนได้ สืบเนื่องจาก Cerberus Hell Mode มีสกิลไฟหลายอย่าง ทำให้การสังเกตเพียงแค่ออร่าสีแดงๆ หรือร่องรอยไฟจากการเดินเพียงลำพังไม่ได้ ให้คอยสังเกตหัว Cerberus ให้ดี โดยเฉพาะหัวขวาสุด จะเป็นตัวที่บอกว่าจะใช้สกิล Firewall โดยเมื่อจะใช้สกิลนี้ Cerberus จะก้มหัวขวาสุดต่ำลง นอกเหนือจากออร่าไฟที่บอสจะชาร์จให้เห็นก่อนปล่อยสกิลใส่เรา โดยเราจะมีเวลา 3 วินาทีในการหลบสกิลนี้
Blizzard
อีกหนึ่งสกิลที่สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างต่อเนื่องและหนักหน่วงจนกระทั่งสามารถทำให้นอนได้เช่นกัน วิธีการหลบหลีกสกิลนี้คืออย่าอยู่นิ่งและอย่าอยู่กันเป็นกระจุกกับคนอื่นๆ ในปาร์ตี้ ให้สังเกตออร่าสีฟ้าๆ และสังเกตุหัว Cerberus ให้ดี โดยเฉพาะหัวขวาสุด จะเป็นตัวที่บอกว่าจะใช้สกิล Blizzard เช่นกัน โดยที่สกิลนี้จะมีจุดด้อยของมันคือ จะโจมตีซ้ำจุดเดิมๆ ของเป้าหมายที่โดนสกิลนี้ หมายความว่าถ้าเพื่อนๆ สามารถหลบออกจากตรงที่สกิลลงได้ ก็จะไม่ได้รับผลใดๆ จากสกิลนี้ แต่ให้คอยระวังอย่าวิ่งตามเพื่อนๆ ไป แล้ววิ่งเข้าไปโดนสกิลนี้เสียเองหล่ะ เพราะเจ็บหนักแน่นอน
AOE Lightning หรือ สกิลสายฟ้าหมู่
สกิลนี้เป็นสกิลที่ทำดาเมจได้ต่อเนื่องและเยอะรวมถึงน่ารำคาญมากๆ สกิลหนึ่ง อาจจะช๊อตรอบหนึ่งๆ ทำดาเมจถึง 1k+และเมื่อโดนสกิลนี้เข้าไปมีโอกาสที่จะติดสถานะไฟช๊อต (ตัวละครจะช๊อคทุกๆ 5 วิทนาที ทำให้ใช้สกิลไม่ได้) วิธีการที่จะหลบสกิลนี้คือ
1. ออกให้พ้นจากระยะของสกิล (สายยิงไกล)
2. ที่ไหนก็ได้ ขอให้ใกล้ๆ ตัว Cerberus มากที่สุด (สายประชิด)
ซึ่งสกิลนี้เป็นสกิลที่สังเกตท่าก่อนใช้สกิลได้ง่ายที่สุด เนื่องจาก Cerberus จะยืนขึ้นด้วยขาหลังก่อนที่จะโถมตัวลงมาใส่ด้วยขาหน้า ทำให้เกิดฝุ่นตลบก่อนและตามมาด้วยสายฟ้ารอบๆ ตัว
2 ฝ่าเท้ากระทืบโลกันตร์
โดยปรกติแล้ว Cerberus จะใช้อุ้งเท้าในการตบผู้เล่นที่ยืนอยู่ด้านหน้า หากเพื่อนๆ ไม่สามารถที่จะหลบลูกตบแรกได้ อย่าได้กลิ้งหนีไปในทิศทางตรงกันข้ามเด็ดขาด เพราะจะเจอลูกตบลูกที่ 2 ตามมาติดๆ อย่างเช่นหากเพื่อนๆ โดนตบด้วยอุ้งเท้าซ้ายก่อน ให้กลิ้งหลบออกไปทางซ้าย เนื่องจาก Cerberus จะตบต่อด้วยอุ้งเท้าขวา
Glacial Spike และ Chilling Mist
Cerberus จะปล่อย 1-2 Glacial Spike เข้าหาผู้เล่น ให้คอยหลบหลีกสกิลให้ดีและคอยระวังอย่าโดนบอสจับเราแช่แข็ง มิฉะนั้นเราจะโดนต่อด้วยสกิล Firewall ซึ่งก็ไม่รอดแน่นอนหากโดนซัดสกิลต่อกันแบบนี้ ต่อด้วยสกิล Chilling Mist ซึ่งจะเป็นสกิลที่เหมือนกับสกิลของ Elemental Lord และมีระยะการโจมตีใกล้ๆ กับบอสเอง สามารถหลบหลักสกิลนี้ได้ไม่ยากเช่นกัน
Dark Lightning Bolt
ใน Hell Mode จะมีลูกสายฟ้าลอยอยู่รอบๆ ตัวบอส 4 ลูก ซึ่งมีความสามารถเหมือนหลุมดำของ Force User ซึ่งจะสร้างความเสียหายรุนแรงได้หากไปโดนเข้าและหัวตรงกลางจะปล่อยสกิลสายฟ้าใส่ผู้เล่น ซึ่งถ้าหากโดนจะติดสถานะไฟช๊อต 15 วินาที
Ball of Fire
สกิลนี้จะมาจากหัวขวา ซึ่ง Cerberus จะยิงบอลไฟออกมาจากปากอย่างต่อเนื่อง ราวกับปืนกลไฟ ซึ่งถ้าหากโดนเจ้าบอลไฟเข้า ตัวละครของเพื่อนๆ จะมีโอกาสล้มและติดสถานะถูกเผาได้
Fire Trail และ Air Pounce
Fire Trail จะเห็นในเฉพาะ Hell Mode เท่านั้น และจะเกิดเป็นแนวทางยาวของไฟบนพื้นตลอดจุดที่ Cerberus ได้ชาร์จสกิลและวิ่งผ่าน ส่วน Air Pounce นั้น Cerberus จะกระโดดหาผู้เล่น โดยเฉพาะสาย DPS เพื่อที่จะจัดการตัวละครที่ทำความเสียหายให้กับมันเยอะที่สุด
AOE Roar (สกิลหอนหมู่หรือเป่าหมู่)
สกิลนี้จะสร้างความเสียหายเป็นรัศมี 180 องศา ซึ่งก็หมายความว่า หากเพื่อนๆ ยืนอยู่ด้านข้างก็มีโอกาสที่จะโดนสกิลนี้เช่นกัน
ตัวอย่างเครื่องประดับระดับ Epic ที่จะได้รับ
ซึ่งนอกจากนี้แล้ว ยังสามารถนำเครื่องประดับเหล่านี้ไปปลุกออฟสกิลเพิ่มได้อีก ซึ่งสามารถอ่านได้จากฟีเจอร์นี้ค่ะ
Dragon Nest พาทัวร์ Chaos Rift : Kamala (Lv.24) ดันเจี้ยนพิเศษสุดเจ๋งแหล่งหาของคราฟท์และตะเกียงออฟเครื่องประดับ