Lord of the Rings Online: Mines of Moria : ภาคเสริมใหม่กับดันเจี้ยนที่กินขาดทุกสิ่งอย่างเหนือชั้น

ประเภท: MMORPG
ผู้พัฒนา: TURBINE
ผู้ผลิต: TURBINE
ผู้จัดจำหน่าย:
เว็บไซต์: WWW.LOTRO.COM
กำหนดวางตลาด: วางตลาดแล้ว

     อาจจะพอกล่าวได้ว่า บรรดาผู้พัฒนาเกมแนว MMO ทั้งหลายต่างพยายามที่จะทำให้ดันเจี้ยนในเกมของพวกตน สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ลองจินตนาการภาพของทีม Turbine ที่จะจับเอาโลกใต้พิภพอันแสนมืดครึ้มอึมครึม ลึกสุดหัวใจ และเต็มไปด้วยภยันตรายร้ายแรงที่สุดแห่งโลกวรรณกรรม (ขนาดถ้ำค้างคาวของ Batman ต้องชิดซ้ายให้) ดูสิ และด้วยภาคเสริมอย่างเป็นทางการของ LotRO อย่าง Mines of Moria นี้เอง ที่จะเปิดประตูพาคุณสู่ Khazad-Dum เมืองหลวงแห่งชนเผ่าคนแคระและพื้นที่บริเวณใกล้เคียง ในศึกที่จะกอบกู้สิทธิ์ขาดของพวกเขาใต้ผืนพิภพแห่งดินแดน Middle Earth นี้

      การเดินทางสู่ Moria ของคุณเกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เหล่าพันธมิตรแห่งแหวนได้เดินทางผ่านไปสำเร็จ (ตามเหตุการณ์ใน Fellowships of the Ring) ตัวของคุณคือหนึ่งในสมาชิกร่วมทางของกลุ่มคนแคระที่พยายามจะบุกฝ่าประตู Hollin Gate แน่นอน มันไม่ง่ายเหมือนกับการไล่ถีบประตูบ้านใครๆ เพราะเจ้าสัตว์ประหลาดหนวดหมึกอย่าง The Watcher ได้เข้าจู่โจมอย่างกะทันหัน และคุณต้องรับมือพร้อมกับล่าถอยเพื่อเข้าสู่เหมือง Moria แห่งนี้ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับ ‘อาวุธในตำนาน’ และสำหรับทีม Turbine นั้น อาวุธที่ว่านี้เองที่เป็นเสาหลักของระบบดำเนินเกมแบบใหม่ ที่เชื่อว่าบรรดาเกมคู่แข่งจะต้องหยิบยืมเอาไปใช้กันจนเกร่อในเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

     กล่าวโดยภาพรวม เจ้าอาวุธในตำนานนี้ก็เปรียบเสมือนตัวขับที่จะทำให้ผู้เล่นใส่ใจกับข้าวของที่เก็บตกมากขึ้น คุณเริ่มเก็บเกี่ยววัตถุดิบจำเป็น ก่อนส่งต่อให้กับตัวละคร NPC อย่าง Forge Master หลังจากที่เขาวิเคราะห์มัน และหลอมรวมจนกลายเป็นอาวุธดังกล่าวแล้ว มันก็จะ ‘พัฒนา’ ไปพร้อมๆ กับตัวละครหลัก สะสมแต้มประสบการณ์ และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วีรกรรม’ ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับตัวละครของคุณได้ในอีกทางหนึ่ง

      และเมื่ออาวุธระดับตำนานของเราไต่ระดับมากพอ มันก็จะแปรสภาพเป็นแหล่งให้ภารกิจแบบพกพา (ส่วนจะได้ภารกิจแบบไหนนั้น ขึ้นกับประเภทของอาวุธที่คุณหลอมมันในตอนแรกเช่นกัน) Jeffrey Steefel โปรดิวเซอร์หลักของโปรเจ็กต์ได้กล่าวเอาไว้ว่า… เนื่องจากไอเทมเหล่านี้สามารถให้ภารกิจกับเราได้ ที่ทำให้เราพอจะอนุมานว่ามันเป็นผู้ร่วมทางคนหนึ่ง มากกว่าจะเป็นแค่ข้าวของดาดๆ อย่างที่เคย และอาวุธระดับตำนานนี้เองที่จะทำให้ผู้เล่นในระดับสูงสามารถเล่นในช่วงเนื้อหาสุดท้ายของตัวเกมด้วยตัวคนเดียวได้ ซึ่งมันสำคัญมากทีเดียว “เราเชื่อว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวครับ เพราะมันเป็นมิติใหม่สำหรับผู้เล่นเชี่ยวชาญในระดับสูง ที่พวกเขาจะสามารถทำในสิ่งที่เจ๋งๆ ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งสามารถกระทำร่วมกับกลุ่มเพื่อนๆ หรือฉายเดี่ยวได้อย่างใจต้องการนั่นเอง”

      แต่เช่นเดียวกับป้ายคำเตือนส่วนสูงบนเครื่องเล่นในสวนสนุก คุณเองก็ต้องไต่ระดับไปที่เลเวล 50 เสียก่อนจึงจะสามารถครอบครองเจ้าอาวุธในตำนานทั้งหลายนี้ได้ แต่ก็ใช่ว่าภาคเสริมอย่าง Moria จะเป็นม้าคึกคะนองศึกสำหรับสิงห์สนามแต่เพียงอย่างเดียว กับสองคลาสใหม่อย่าง The Warden และ The Runekeeper เองนั้นก็ถูกเพิ่มเข้ามาสำหรับผู้เล่นในทุกๆ ระดับเช่นเดียวกัน คลาสแรกเป็นนักรบชุดเกราะระดับกลางที่มองโดยผาดเผินแล้วพวกเขามีความสามารถที่ไม่มากเท่าใด แต่ด้วยสไตล์การต่อสู้ที่ผสานคอมโบแบบเดียวกับเกมอย่าง Age of Conan นี้เอง ที่ผู้เล่นจะเปิดใช้ท่าร่างอย่าง Gambit Move เพื่อฟื้นพลังชีวิต ยั่วศัตรูให้โจมตี อัดพวกมันให้อยู่นิ่งกับที่ หรือสร้างความเสียหายก็ย่อมได้ ความสลับซับซ้อนจึงเกิดขึ้นในตอนที่คุณจะต้องพิจารณาว่าท่วงท่าไหนควรจะผสานกับท่าใด ซึ่งทาง Turbine เองก็ได้ออกมายืนยันว่า นี่จะเป็นคลาสที่ซับซ้อนที่สุดในบรรดาทั้งหมดเลยก็ว่าได้

      ส่วน The Runekeeper นั้นถือได้ว่าเป็นคลาสผู้ร่ายเวทย์สมบูรณ์แบบคลาสแรกของ LotRO นี้ และถูกออกแบบมาเพื่อความยืดหยุ่นสูงโดยเฉพาะ กล่าวคือพวกเขา (หรือเธอ) สามารถกวาดล้างสร้างความเสียหายให้กับศัตรู หรือจะเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บของพวกพ้องก็ได้ แต่ในทางกลับกัน ทุกครั้งที่คุณเลือกใช้คาถาสายรุกหรือรับ มันก็จะเป็นการดึงแนวโน้มของความสามารถหลักๆ ให้ไปในทางสายนั้นมากขึ้น ดังนั้นถ้าระหว่างการตะลุมบอนคุณระเบิดหัวศัตรูแบบไม่ยั้ง คุณก็จะปลดล็อกคาถาโจมตีที่ทรงพลังได้มากขึ้น ช่วยให้การจู่โจมมีประสิทธิภาพ แต่มันก็จะไปลดหรือบั่นทอนความสามารถในเชิงรับอย่างคาถารักษาไปในตัว

 

        และสำหรับตัวของเกมเองจะประกอบไปด้วยดันเจี้ยนย่อยอีก 60 กว่าแห่งครอบคลุมตั้งแต่ดันเจี้ยนฉายเดี่ยวจนถึงแบบกลุ่ม 3-6 คน ที่ผู้เล่นจะได้ดำดิ่งสู่สวนใต้ดินแห่งชนเผ่าคนแคระ, สุสานของเหล่าผู้วายชนม์จากสงครามกับเหล่าออร์ค หรือแม้กระทั่งใน Shadowy Abyss ที่ซึ่งเจ้า Balrog ปีศาจเพลิงโลกันตร์ตนสุดท้ายได้ซ่อนตัวหลังจากที่พวกพ้องของมันถูกสังหาร (โดยแกนดาร์ฟจาก LotR ภาคแรก) ซึ่งทาง Turbine เองก็ได้ออกมาแง้มๆ แล้วว่า คุณจะได้มีโอกาสเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าปีศาจสีแดงเพลิงตนนี้ หรือแม้กระทั่งอาจจะได้รวมกลุ่มเข้าประมือกับเจ้า The Watcher หนวดยักษ์ในช่วงท้ายของเกมด้วยเช่นกัน

     สุดท้าย ด้วยสโคป ระดับยักษ์ ปูมหลัง ศักยภาพของเกมการเล่น และเนื้อหาจำนวนมหาศาลที่ถูกใส่เข้ามาใน Mines of Moria นั้นก็น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ในขณะที่แผ่นเสริมของ WoW อย่าง Burning Crusade เองก็มีดีในตัวของมันเอง แต่การเปิดประตูมิติ Dark Portal ก็ไม่ได้ทำให้เราต้องตัวสั่นหวาดผวาหรือขากรรไกรค้างแบบเดียวกับที่เห็นโถงบันไดไร้ที่สิ้นสุดของ Moria หรือดันเจี้ยน Hellfire Peninsula เองก็ไม่อาจเทียบได้กับความมหึมาอลังการที่เหมือง Moria ได้มอบให้ไว้ และเราก็เชื่อว่าสิ่งที่ Mines of Moria จะเตรียมให้กับผู้เล่น LotRO นั้นก็คงจะเป็นอะไรที่สุดๆ เสียยิ่งกว่าที่ Blizzard จะมอบให้กับเหล่าสาวกผู้ภักดีชนิดเทียบไม่ติดเลยเชียวล่ะ

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้