Milkman: ในเกม Fable ภาคแรกที่มีระบบ (ตามทฤษฎี) ที่การกระทำทุกอย่างของคุณจะส่งผลกับโลกและรูปร่างหน้าตาของคุณด้วยนั้น เป็นเกมแนวแอ็กชั่นอาร์พีจีที่ผมชอบเป็นลำดับต้นๆ เลย ซึ่ง Fable II ดีกว่านั้นอีกครับ เกมนี้ไม่ใช่แค่เพราะกราฟิกได้รับการยกเครื่องใหม่หมด ตัวละครก็ไม่ได้ดูเหมือนกับการ์ตูนแอนิเมชั่น Wallace & Gromit อีกต่อไป รวมไปถึงรายละเอียดของโลกที่มีตั้งแต่เกสรดอกไม้ ผีเสื้อ สายน้ำที่หลั่งไหล และป่าอันเขียวขจี ระบบต่อสู้ก็มีการพัฒนาไปมาก และดีกว่าเกมแนวแอ็กชั่นมุมมองบุคคลที่สามหลายๆ เกมอีกด้วย ดีถึงขนาดที่ว่าเกมนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับเกมแอ็กชั่นดีๆ เกมหนึ่ง และมีระบบของอาร์พีจีมาเสริมต่อเป็นโบนัสเลยทีเดียวครับ
ในส่วนนี้ผมขอยกความดีความชอบนี้ให้กับระบบ Will 5 ขั้น (หรือระบบเวทมนตร์) ที่แม้ตอนแรกจะรู้สึกแปลกๆ แต่มันกลับดีกว่าที่คิดมาก ระบบนี้ให้คุณสามารถใช้เวทมนตร์ได้ถึง 5 ขั้นในการต่อสู้ ยกตัวอย่างเช่น ผมตั้งให้พลังขั้นแรกของผมเป็น Time Control ที่จะทำให้ศัตรูรอบตัวเคลื่อนไหวช้าลง ซึ่งก็ทำให้ผมมีเวลาใช้พลังขั้นที่สูงกว่าขึ้นไปโจมตี หรือใช้ยารักษาอาการบาดเจ็บได้ ส่วนความสามารถในการอัพเกรดอาวุธด้วยความสามารถพิเศษต่างๆ ก็เป็นเหมือนกับส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งอันอัศจรรย์นี้ ระบบตัวเลือกความดีความเลวในภาคนี้ก็มีผลแตกต่างมากกว่าภาคก่อนมาก (โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวกับสุนัขของคุณ ที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่เยี่ยมยอดมาก) ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกว่า เกมนี้เข้ากันได้ดีกับตัวผมมากกว่าภาคแรกมาก
ถึงแม้ Fable II จะมีสิ่งที่เพิ่มเข้ามามาก แต่ก็มีบางส่วนที่ถูกเอาออกไปเช่นกัน ภาคนี้มีจำนวน Demon Doors และรูปแบบของชุดเกราะที่น้อยกว่าภาคแรก และยังทำให้การเล่นเกมของคุณต้องสะดุดเป็นระยะๆ ด้วยเมนูที่ออกแบบมาแย่ กับการที่ไม่มีแผนที่ขนาดเล็กแสดงให้ดูระหว่างการเล่น ซึ่งคุณคงต้องทำใจเล่นไปแบบนี้จนกว่าไมโครซอฟท์จะมีการออก Expansion แบบ Lost Chapter มาอีกนั่นแหละครับ
Giancarlo: Fable II นั้นเป็นเหมือนกับเกม The Elder Scrolls IV: Oblivion สำหรับคนที่เกลียด (และก็ชอบ) เกม Oblivion เพราะเกมทั้งสองนั้นมีระบบเกี่ยวกับความดีของตัวละครและความสามารถในการเดินทางไปที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ และถึงแม้ว่าโลกของ Albion จะไม่ใหญ่เท่า (พื้นที่ส่วนใหญ่จะมีเส้นทางหลักหนึ่งเส้น และมีเส้นทางย่อยต่อติดอยู่กับเส้นทางหลัก) แต่ระบบอื่นๆ ของ Fable II นั้นกลับดูเฉพาะเจาะจงและสนุกสนานกว่าในเกือบทุกด้าน เนื้อเรื่องหลักของเกมไม่เพียงจะดำเนินไปด้วยความเร็วที่เหมาะสมเท่านั้น (หากคุณต้องการ) หากแต่ยังยังน่าติดตามและสนุกด้วย ส่วนเควสต์รองที่มีอยู่อย่างมากมายก็จะมีจุดเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกเควสต์จะให้รางวัลที่คุ้มค่าและสมควรที่จะทำให้หมด แต่ถ้าหากจะถามถึงสิ่งที่ผมชอบที่สุดในเกมนี้ก็คงเป็นระบบต่อสู้ที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก และมีการวางแผนมาเกี่ยวเนื่องด้วยพอสมควร ซึ่งต้องมอบความดีความชอบให้กับการที่ระบบการต่อสู้ทั้งสามแบบ การต่อสู้ระยะประชิด ระยะไกล และการใช้เวทมนตร์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวครับ
Jennifer: ฉันไม่ชอบเกม Fable ภาคแรกเลย ตัวเกมไม่ลึกพอสำหรับเกมอาร์พีจี ดังนั้นฉันจึงลองเล่นเกมนี้แบบไม่ตั้งความหวังไว้มากนัก ซึ่งต้องบวกกับการคุยอวดเกินจริงของ Peter Molyneux ผู้สร้างเกมนี้ด้วย แต่สำหรับครั้งนี้ Fable II ตรงเข้าเป้าเป๊ะเลย มันน่าติดตามไปทั้งหมด ตัวเกมมีรายละเอียดมากกว่าเกมแอ็กชั่นอาร์พีจีอื่นๆ แต่ยังคงเล่นง่ายและดูสวยงามกว่าเกมแนวฮาร์ดคอร์ทั้งหลาย ฉันชอบมากที่สามารถท่องเที่ยวไปทั่วได้ พบปะกับตัวละครอื่น เควสต์ และมินิเกมต่างๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ และก็ยังมีเรื่องของเวลาในเกมอีก ที่คุณจะมีเวลาจำกัดในการทำเควสต์ต่างๆ และการโหลดพื้นที่ใหม่ในเกมจะต้องใช้เวลาด้วย ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกผูกติดกับเกมมากกว่าจะรู้สึกว่านี่เป็นข้ออ้างสำหรับเวลาโหลดที่ค่อนข้างจะนานของเกมนี้ การที่แทบจะไม่มีฉากคัตซีนเลยก็ช่วยได้มาก และไม่ว่าเกมใดก็ตามที่ดึงเอาความเป็นนักพนันในตัวฉันออกมาได้ ขนาดที่ตัวฉันเองยังไม่รู้ว่าตัวเองมี นั่นแสดงว่าเกมนั้นต้องทำได้ดี (หรือแย่) มากๆ แน่ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ Fable ต้องการจะสื่อออกมาไม่ใช่หรือ?
มันอาจจะดูเรียบง่าย แต่ระบบการต่อสู้นี่แหละที่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับ Fable II
มีหรือไม่มีเธอ
ระบบการช่วยกันเล่นแบบออนไลน์ไม่มีในแผ่นที่วางขายสำหรับ Fable II (ต้องโหลดแพตช์เอาเท่านั้น) แต่ผู้เล่นสองคนก็สามารถที่จะเล่นบนเครื่องเดียวกันได้ แต่คุณจะไม่รู้สึกขาดอะไรไปเลยแม้คุณจะไม่ได้เล่นแบบออนไลน์ เพราะแม้ว่าการเล่นแบบร่วมมือกันจะทำให้คุณสามารถเช็คดูตัวละครของเพื่อนคุณและโลก Albion ของเขาได้ แต่คุณจะไม่ได้เล่นเป็นตัวละครของตัวเอง คุณจะได้เล่นเป็นพวกตัวละครช่วยเหลือที่จะมีความสามารถอิงกับตัวละครหลักของเกมนั้นๆ ดังนั้นถ้าหากคุณเพิ่งจะเริ่มเล่น Fable II และคุณได้เข้าไปร่วมเล่นกับคนที่เล่นมานานแล้ว คุณจะได้เห็นอาวุธเลเวลสูงๆ ในเกมนี้และได้ลองใช้ ซึ่งก็น่าสนใจอยู่หรอกนะที่จะได้ไปเล่นในโลกของคนอื่น แต่กลับน่าผิดหวังมากที่คุณไม่สามารถเล่นเป็นตัวละครของตัวเองได้ และยิ่งน่าผิดหวังเข้าไปใหญ่ที่ประสบการณ์อันสุดยอดจากการเล่นแบบคนเดียวไม่สามารถถ่ายทอดไปยังการเล่นแบบหลายคนได้ เพราะมีเรื่องของการต่อสู้เพื่อแย่งมุมกล้องกันเนื่องจากผู้เล่นจะต้องแชร์กล้องตัวเดียวกัน และการต่อสู้ด้วยอาวุธระยะไกลดูไม่ดีเท่าไหร่เมื่อไม่มีมุมกล้องแบบมองจากหัวไหล่ สุดท้ายนี้แล้ว ระบบช่วยกันเล่นของเกมนี้เป็นเหมือนกับการที่จะหาเงินอย่างรวดเร็ว (เหมือนกับการทำอาชีพอื่นๆ ในเกม) มากกว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นควรจะเล่นเพื่อได้รับประสบการณ์ดีๆ จากการเล่นเกม
ผู้จัดจำหน่าย: Microsoft Game Studios
ผู้พัฒนา: Lionhead
จำนวนผู้เล่น: 1-2 คน
ESRB: 17 ปีขึ้นไป
Milkman A ยอดเยี่ยม
Giancarlo A- ยอดเยี่ยม
Jennifer A- ยอดเยี่ยม
ข้อดี: ลึกล้ำมาก พอๆ กับเกมแนว MMO เลย
ข้อเสีย: ระบบตอบสนองของผู้เล่นมีบั๊กพอควร ใช้เวลาโหลดนาน
การบูชายัญ: อย่าทำร้ายสุนัขที่น่าสงสารเลย