อนาฅต…ประเทศไทย ? เจาะลึกเบื้องหลังแนวคิดของ อนาฅต ซีรีส์ที่สร้างจากความเจ็บปวด ผลงานสร้างสรรค์ของคนไทยฝีมือระดับโลก!

กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางถึงประเด็นร้อนทั้ง 4 ประเด็น พร้อมกระแสชื่นชมอย่างล้นหลามถึงความประณีตของงานสร้างสรรค์ในซีรีส์ดราม่าล้ำยุค อนาฅต (Tomorrow and i) ที่ทีมผู้สร้างได้ทุ่มเทเวลากว่า 3  ปีตั้งแต่การพัฒนาบทไปจนถึงการทำโพสต์โปรดักชั่นส์ ที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานฝีมือคนไทยล้วนที่รวบรวมทีมงานมากฝีมือทั่วประเทศมารังสรรค์ฉากสุดอลังการให้กับซีรีส์เรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น CG หลายฉากที่เห็นในเรื่อง ล้วนเป็นผลงานสร้างสรรค์จากทีม VFX ที่เคยร่วมงานกับภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูดมาแล้ว! ซึ่งเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานทั้ง 4 ตอนจะท้าทายมากแค่ไหน สามารถติดตามได้ ที่นี่ พร้อมกันนั้น เราจะพาคุณมาเจาะเบื้องลึกที่มาที่ไปของประเด็นหลัก พร้อมแกะรอยความเข้มข้นที่ซ่อนอยู่ในแต่ละตอน เริ่มกันด้วย

นิราศแกะดำ ภาพสะท้อนเพศสภาพในโลกอนาฅต?

เมืองไทยในวันข้างหน้าจะมีมุมมองต่อเรื่องความหลากหลายทางเพศต่างไปจากเดิมหรือไม่? นี่คือประเด็นละเอียดอ่อนที่ซ่อนอยู่ในตอน นิราศแกะดำ (Black Sheep) เรื่องราวโรแมนติกดราม่าของการปะทะกันระหว่างเทคโนโลยีการโคลนนิ่งและแนวคิดเรื่องวัฏสงสาร ที่มีแกนหลักคือการนำเสนอเรื่องราวการถูกกดทับของ “เพศทางเลือก” ในสังคมไทย ผ่านการทำการบ้านแบบเจาะลึกถึงความรู้สึกจริงๆ ของหลายคนซึ่งเป็นที่มาของเสียงสัมภาษณ์ในตอน End credit ที่ทำเอาหลายคนสะเทือนใจจนเสียน้ำตา พร้อมๆ กันกับการปรากฏตัวของ จี๋-สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร (รับบท หมอนนท์) ที่ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้กับประเด็นความหลากหลายทางเพศกับการทิ้งปริศนาบางอย่างไว้ให้ขบคิด เช่น เหตุผลที่หมอนนท์ไว้ผมยาวในตอนท้าย ซึ่ง ดร.ธารา สุวิญญัติชัยพร ดอกเตอร์คนไทยผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์ จาก California State University ในฐานะที่ปรึกษาด้านบทของซีรีส์เรื่องนี้ ได้ไขความกระจ่างถึงการกระทำนี้ไว้ว่า ในโลกอนาคต คำว่า LGBTQ อาจเลือนหายไป แทนที่ด้วย “Gender Fluid” หรือเพศที่ไหลลื่น หมายถึงการไม่มีเพศตายตัวชายหรือหญิง แต่เป็นการเปิดกว้างให้แต่ละบุคคลสามารถเลือกเพศสภาพของตนเองได้อย่างอิสระ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยไม่ต้องยึดติดกับกรอบเดิมๆ อีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ชวนให้คิดว่า ในวันที่เพศสภาพมีความหลากหลายมากขึ้น LQBTQ+ จะยังถูกมองว่าเป็น ‘แกะดำ’ ในสังคมไทยอีกหรือไม่

จุดเริ่มต้นจากโสเภณีเด็กสู่ เทคโนโยนี

จากการได้เห็นภาพสะเทือนใจของเด็กหญิงอายุราว 10 ปี ในชุดบิกินี่กับชายต่างชาติ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นความเจ็บปวดในใจของผู้กำกับ ปวีณ ภูริจิตปัญญา ที่ผลักดันให้เกิดตอน เทคโนโยนี (Paradistopia) เรื่องราวที่หยิบเอา Sex robot มาเล่าถึงการมีอยู่ของอาชีพโสเภณีที่ไม่เคยถูกยอมรับว่ามีอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะการมีอยู่ของโสเภณีเด็กที่มีอยู่จริงแต่ไม่เคยมีใครกล้าพูดถึง โดยเทคโนโยนี ถูกเล่าผ่านตัวละครสีสันจัดจ้านอย่าง เจสสิก้า (รับบทโดย วี-วิโอเลต วอเทียร์) เด็กสาวผู้เติบโตใน Gamalore City ที่มีแม่ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ  จากปมที่คลุกคลีกับอาชีพนี้มาตั้งแต่วัยเด็ก เธอจึงผลักดันให้เกิด Sex robot ที่ถูกออกแบบและฝึกสอนโดยเหล่าโสเภณี ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับอาชีพนี้ และไม่อยากให้มีใครต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นที่เธอเคยต้องประสบมา นอกจากนี้ ทีมผู้สร้างยังได้จงใจออกแบบบรรยากาศตลอดจนคอสตูมของเรื่องให้ออกมาในแนว Future Retro ด้วยความต้องการเสียดสีแบบแสบสันต์ว่าแม้จะอยู่ในโลกอนาคต ประเด็นเรื่อง sex worker ก็อาจไม่สามารถก้าวข้ามกรอบศีลธรรมอันดีงามของประเทศไปได้นั่นเอง

ศาสดาต้า กับบทบาท “ศาสดาใหม่” ของเอม ถาวรศิริ?

จากสเตตัสของเด็กยุคใหม่ว่าวันนี้เรายังจำเป็นต้องนับถือศาสนาอยู่ไหม สู่จุดเริ่มต้นของ ศาสดาต้า (Buddha data) ที่ชูประเด็นคำถามสำคัญว่า ในอีก 5 ปี พระสงฆ์จะยังจำเป็นต่อการเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยของพุทธศาสนาอยู่ไหม  ซึ่งในตอนนี้ได้ เอม ถาวรศิริ มารับบทนีโอ ที่เปรียบเหมือนเป็นศาสดาคนใหม่ ผู้คิดค้น ULTRA อุปกรณ์สุดล้ำที่เข้ามาท้าทายการมีอยู่ของพระสงฆ์โดยตรง โดยเอมได้พูดถึงการเตรียมตัวไว้ว่า เขาทำการบ้านค่อนข้างเยอะเพื่อให้เข้าถึงบทบาทนีโอ ทั้งการไปศึกษาพระไตรปิฏกอย่างจริงจังทั้งเล่ม นอกจากนี้เขายังได้หยิบเอาคาแรกเตอร์ของนักการเมืองชื่อดัง มาผสมผสานกับการตีความลักษณะของพระพุทธเจ้าเพื่อดีไซน์ตัวละครนีโออกมาอย่างที่ทุกคนได้เห็นกัน และสำหรับท่าทางในการเปิดระบบอุปกรณ์อย่าง “สวัสดี ULTRA” ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่เอมได้ลองทำการบ้านมานำเสนอกับผู้กำกับเพื่อทำให้ตัวละครนีโออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุดอีกด้วย

เด็กหญิงปลาหมึก…ความตลก ที่ไม่ตลก?

เชื่อว่าหลายคนอาจจะหลุดขำออกมาเมื่อได้ดู เด็กหญิงปลาหมึก (Octopus Girl) โลกจินตนาการถึงเมืองไทยในอีก 30 ปีข้างหน้า ในวันที่ฝนตกไม่หยุด ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสายตาของเด็กชั้นประถม 2 คน ที่อาศัยอยู่ในชุมชนนีโอคลองเตย ที่ครั้งนี้ทีมผู้สร้างได้ทุ่มทุนสร้างเนรมิตชุมชนนี้ขึ้นมาใหม่ชนิดที่เรียกว่าใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่โรงเรียน ทางเดินในชุมชน ร้านขายของชำ ข้าวของในบ้านของคนในชุมชน ตลอดจนบรรยากาศน้ำท่วมขัง และฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง โดยในตอนนี้ ทีม VFX ได้เนรมิตโกดังเก็บของขนาดใหญ่ให้กลายเป็นชุมชนนีโอคลองเตยที่มีชีวิตชีวาจนเกือบจะอาศัยอยู่ได้จริง โดย เด็กหญิงปลาหมึก ถูกจงใจนำเสนอในโทนดาร์กคอมเมดี้ สะท้อนถึงการมองข้ามปัญหาโลกร้อน ที่ไม่เคยถูกมองเห็นอย่างจริงจัง เพื่อตั้งคำถามกับผู้ชมว่า “ในอีก 30 ปีข้างหน้า เราจะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้จริงหรือ? หรือเราควรเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้?” ซึ่งหลังดูจบแล้ว เราจะยังขำขันกับเรื่องภาวะโลกร้อนกันอยู่หรือไม่ หรือเราต้องหันมาช่วยกันตอบคำถามของเด็กทั้งสองคนที่ถามว่า “ทำไมเขาใช้โลกไม่เผื่อเราเลยวะ ใช้เหมือนว่าจะไม่มีคนมาใช้ต่อจากเขา” กันตั้งแต่วันนี้?

Tomorrow And I. (L to R) Ray Macdonald (เร แม๊คโดแนลด์) as พระเอนก, Aelm Thavornsiri (เอม ถาวรศิริ) as นีโอ, Pongsatorn Jongwilas (พงศธร จงวิลาส) as อะตอม in Tomorrow And I. Cr. Courtesy of Netflix © 2024

ร่วมตั้งประเด็น ต่อยอดความคิด จากซีรีส์ดราม่าล้ำยุค 4 เรื่อง 4 รส ที่ไม่เพียงแต่โดดเด่นด้วยโปรดักชั่นดีไซน์และ CG ล้ำสมัย แต่ยังชวนขบคิด ว่าหากถึงวันที่เทคฯ จะเข้ามา DISRUPT ไทย แล้วจริงๆ เราอยากให้อนาคตของประเทศไทยออกมาเป็นอย่างไร รับชมซีรีส์ อนาฅต ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix เท่านั้น !


[ข่าวประชาสัมพันธ์]

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้