Wicked เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากละครเวทีซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องราวของ The Wizard of Oz มาอีกที โดยต้องยอมรับว่าส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวเรื่องพ่อมดแห่งออซมากนัก แค่เคยเห็นหรือได้บินผ่านๆ รับรู้เพียงโครงเรื่องคร่าวๆ ก็แอบกังวลว่าจะพอดูรู้เรื่องไหม หรือจะซื้อกับคอนเซ็ปต์โลกหรือเวิร์ลเซ็ตติ้งรึเปล่า ทว่าก็อยากบอกว่าใครที่กังวลแบบผมนั้นไม่ต้องกลัวครับ ถึงรู้แค่พอผิวเผินก็ยังสามารถเอนจอยกับหนังได้อย่างไม่ยากไม่เย็น
เพราะ Wicked จะเจาะจงเล่าไปที่เรื่องราวของ 2 แม่มดผู้ยิ่งใหญ่แห่งตะวันตกและแดนใต้ ผู้เป็นศัตรูคู่ฟ้าและครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน โดยเฉพาะกับการโฟกัสไปยังแม่มดแห่งตะวันตก “เอลฟาบา” กับเรื่องราวที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นตัวร้ายในสายตาของคนทั้งโลก เพียงแค่เพราะเธอแตกต่างและยืนหยัดหนักแน่นในความคิดอุดมการณ์ของตัวเอง ในขณะที่ “กลินดา” แม่มดแดนใต้ที่เป็นรูมเมทกัน กลับเต็มไปด้วยความงามของเปลือกนอก รู้วิธีเอาชนะใจผู้คนด้วยเสน่หาทางรูปลักษณ์ ทว่ากลับไร้หลักโอนอ่อนไปตามกระแส และมักจะยอมผ่อนปรนตัวเองเพื่อแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ
แต่ความแตกต่างของทั้งคู่กลับเข้าขากลมกลึง ต่างฝ่ายต่างดึงเอาตัวตนที่ซ่อนไว้ของอีกคนออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ในหนังเรื่องนี้เราจะได้เห็นฉากจิกกัดกันในรั้วโรงเรียนของ 2 ตัวเอกที่สนุกสนาน เฮฮา สดใส ล้อไปกับจังหวะโดนใจของภาพยนตร์เพลงมิวสิคัล พาร์ทของทั้งคู่ต้องบอกว่าแทบจะไร้ที่ติ เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในซีนของทั้งคู่ทำให้ผู้ชมต่างกินใจไปกับมิตรภาพสวยงามที่กำลังก่อเกิด รู้สึกได้ถึงความจริงใจ สวยงามเลิศเลอจนเราลืมไปว่าในท้ายที่สุดทั้งคู่จะกลายเป็นศัตรูกัน แม้ภาคแรกจะยังไม่เห็นจุดแตกหักแบบนั้น แต่แน่นอนว่าการขมวดปมท้ายเรื่องย่อมต้องให้เราเห็นร่องรอยการแตกหักของทั้งคู่ เป็นดั่งออร์เดิร์ฟที่ให้คาดหวังภาคหน้าได้เลยว่าทีมงานจะขยี้ความงดงามนั้นให้จมดินได้อย่างรวดร้าวแหลกสลายแน่นอน
สิ่งที่ต้องยกย่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ 2 นักแสดงนำอย่าง “ซินเธีย เอริโว” ในบทเอลฟาบา และ “อาเรียน่า กรานเด้” ในบทกลินดา ที่ปล่อยพลังกันแบบกินกันไม่ลง ไม่มีใครตายใคร การแสดงก็เริ่ด ในขณะพาร์ทร้องเพลงคือหูเคลือบทองกันทั้งโรง สุดยอดมากๆ ส่วนตัวคิดว่าบทกลินดานั้นมีสีสันสุดๆ คือเอลฟาบาเป็นแกนเรื่องและไอเดียหลักที่แข็งแรงก็จริง แต่จริตความแบ๊วบ้าๆ บอๆ ของกลินดาคือชูรสชั้นดีที่ทำให้พาร์ทโรงเรียนสนุกขึ้นอย่างมหาศาล ต้องบอกว่าอาเรียน่าทำถึงมากๆ ราวกับว่าเธอเกิดมาเพื่อเล่นบทนี้จริงๆ
อีกส่วนที่ชอบจริงจังคือฉากที่มีความใหญ่โตและครีเอต ลำพังแค่ครีเอตฉากที่ต้องถ่ายมิวสิคัลก็น่าจะยากแล้ว ทว่ามันยังเต็มไปด้วยรายละเอียด ความมีชีวิตชีวาในพาร์ทย่อยๆ ใครสามารถดูพากย์ไทยหรือฟังซาวด์แทรคโดยไม่อ่านซับได้คือเป็นกุศลทางสายตามากๆ เพราะด้วยการตัดต่อที่ต้องล้อไปกับจังหวะที่แม่นยำ ทำให้ในหลายๆ ครั้งเราไม่สามารถกวาดสายตาดูฉากได้ทันหลังจากอ่านซับครับ แป๊บๆ ตัด แป๊บๆ เคลื่อนกล้อง น่าเสียดายแต่ก็ไม่ใช่ข้อเสีย เพราะมันคือหนึ่งในพาร์ทที่ทำให้หนังกลมกล่อมมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยงานภาพระดับนี้ ผนวกกับความเป็นภาพยนตร์มิวสิคัล การเข้ารับชมในโรงที่ระบบดีที่สุดอย่าง IMAX ก็ย่อมเสิร์ฟความบันเทิงได้เต็มอารมณ์กว่าอยู่แล้ว ได้ทั้งภาพสุดอลังการคมชัด และยินทั้งเสียงร้องสุดทรงพลังของซินเธียและอาเรียน่าบอกเลยว่าคุ้มมากๆ
แต่ใช่ว่าหนังจะไม่มีข้อเสียเลย Wicked เป็นหนังที่มี 2 ภาคดังนั้นทำใจกันไว้แต่เนิ่นๆ ว่าไม่มีอะไรคลี่คลายในภาคนี้แน่นอน และเมื่อหนังแบ่งเป็น 2 พาร์ท ทำให้หลายๆ อย่างทางผู้กำกับดูจะอยากกั๊กไว้เล่าในภาค 2 มากกว่า ทำให้หนังบางช่วงบางตอนย้วยเกินความจำเป็นไปสักหน่อยและทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 40 นาทีกันเลยทีเดียว ยาวจนงง ออกจากโรงมายังงง
อย่างไรก็ตามข้อเสียที่ว่ามาก็ไม่อาจกลบความยอดเยี่ยมในแทบทุกส่วนสัดของ Wicked ได้เลย ใครเป็นแฟนเวอร์ชั่นละครเวทีมาก่อน หรือใครที่ชื่นชอบในเรื่องราวของ The Wizard of Oz นี่คืองานดัดแปลงชิ้นเยี่ยมที่สุดที่คุณจะจินตนาการถึงในรอบหลายปีมานี้ และสำหรับคนที่รู้จักเพียงผิวเผินหรือไม่ได้ติดตามอะไร มันก็ยังเป็นหนังแฟนตาซีมิวสิคัลที่จะทำให้คุณอิ่มใจทั้งงานภาพและเสียงแบบที่หาจากไหนไม่ได้อีกแล้วในรอบปีนี้ครับ
Verdict
8.5/10
ดูรอบและสำรองที่นั่งได้ที่ – https://majorcineplex.com/movie/wicked-part-one
ขอขอบคุณ Major Cineplex สนับสนุนการรับชมภาพยนตร์
ติดตามข่าวหนังอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ Online Station