รีวิวหนัง Dune: Part Two – ยอดงานไซไฟแห่งยุคสมัยที่รอคอย

Dune ภาคแรกเมื่อปี 2021 นั้นคือหนึ่งในงานที่ทำให้หลายๆ คนได้ทึ่งไปกับองค์ประกอบทุกส่วนสัดของมัน ไม่ว่าจะในแง่ของงานสร้าง การแสดง หรือการเล่าเรื่อง จนกลายเป็นภาพยนตร์มหากาพย์ไซไฟในรอบหลายปีที่กลายเป็นกระแสและผู้คนพูดถึงจนสามารถทำรายได้มากพอจน Warner ไฟเขียวให้กับการทำภาคต่อ

แต่ถึงแม้ Dune จะเป็นงานชั้นครูขนาดไหนมันก็มีจุดอ่อนที่หลายๆ คนไม่อาจมองข้ามได้นั่นคือการที่มันเหมือนจะเป็นเพียงส่วนของการอินโทร และไม่อาจจบในตอนราวกับหนังที่ยังเล่าไปกำลังจะไคลแมกซ์แล้วตัดกลางคัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะการจะเล่าเรื่อง Dune ให้ครอบคลุมก็อาจต้องใช้สกรีนไทม์ภาพยนตร์มากกว่า 1 ภาคและเป็นความต้องการของผู้กำกับอยู่แล้ว

DUNE

ทว่าใน Dune: Part Two จุดอ่อนข้างต้นนั้นถูกปิดไป ด้วยการที่มันเป็นหนังที่ทั้งสามารถจบในภาคนี้หรือต่อภาคหน้าก็ได้ไม่ต่างกัน กอปรกับงานสร้างได้รับการอัปเกรดขึ้น นักแสดงยังคงวาดลวยลายขันแข็งไม่มีใครมือตก และเสริมทัพด้วยยอดฝีมือที่แค่โผล่มาไม่กี่นาทีหรือวินาทีก็ยังมาแสดงให้ ทำให้ Dune: Part Two ไม่ใช่แค่ภาคต่อ แต่ยังเป็นภาคที่อัปเกรดทุกอย่างจากภาคแรกซึ่งดีอยู่แล้ว ให้ใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบที่สุด

DUNE

Dune: Part Two มีเนื้อเรื่องต่อจาก Part One เมื่อตระกูลอะเทรดิสปราชัยให้กับการลอบกัดของตระกูลคู่กัดอย่างฮาคอนเนนที่ร่วมมือกับจักรพรรดิ์ และล่มสลายลงในเวลาเพียงคืนเดียว พอล อะเทรดิส พร้อมกับเลดี้เจสสิกาผู้แม่จึงต้องหนีไปกับพวกชาวพื้นเมืองที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรนักอย่างชาวเฟรเมน ในขณะที่ความฝันซึ่งคอยตามหลอกหลอนเขานั้นก็ดูจะชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ ในทุกขณะ

DUNE

หากภาคแรกถูกใช้ในการปูพื้นไปแล้ว ภาคนี้ก็ใช้ประโยชน์นั้นจากภาคแรกได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะแม้ภาพยนตร์จะยาวถึง 2.45 ชั่วโมง แต่ก็แทบไม่มีช่วงเอ้อระเหยใดๆ อาจมีการแช่กล้องเน้นซีนอารมณ์นักแสดงอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมคือเรารู้สึกได้เลยว่าเรื่องถูกตัดให้กระชับขึ้น อันไหนหั่นได้หั่น อันไหนไม่จำเป็นกับหนังก็ไม่ต้องเล่า ทำให้เราได้ดูเส้นทางการขึ้นสู่อำนาจของพอลได้แบบไม่ยืดเยื้อ ตรงประเด็น และเข้าเป้า ในเวย์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

DUNE

ไฟต์ซีนภาคนี้ก็ดูรวดเร็วดุดันมากขึ้น ฉากสงครามช่วงท้ายทำได้ดีมากๆ จนอยากให้แอร์ไทม์มันนานกว่านั้นอีกสักหลายๆ นาที แต่ก็อย่างที่บอกว่าเขาอยากเล่าในสิ่งที่ต้องการเล่า ทำให้มันอาจไม่ได้ยาวนานจุใจนัก แต่แอ็คชั่นคือการันตีความเดือด และมันมาพร้อมกับวิสัยทัศน์การฉายภาพสงครามขนาดใหญ่สุดลงตัว เราจึงได้ดูฉากมหาสงครามอลังการระดับที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ สะใจแฟนๆ แน่นอน

DUNE

ในแง่ของงานสร้างงานดีไซน์ก็จัดว่าเอกอุเหนือชั้น ในภาคแรกเราเห็นหลายสิ่งน่าสนใจอยู่แล้ว แต่มันเพิ่มพูนขึ้นในภาคนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉากดาว Gedi Prime บ้านเกิดของพวกฮาคอนเนน ที่จัดเป็นงานดีไซน์ที่น่าสนใจและชวนว้าวมากๆ ในเวลาเดียวกัน มีการเล่นเฉดสีและแสงเงาด้วยเทคนิคชวนตาค้าง ขณะที่เจ้าหนอนทรายไชฮาลูด (ไม่ใช่ชิวาว่ายักษ์) ก็ยังน่าเกรงขามและน่าสะพรึงไม่แพ้ภาคแรก เรียกกว่างานสร้างอลังการโอฬารขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ดูในโรงภาพยนตร์คงน่าเสียดายแย่

DUNE

และหากพูดถึงโรงภาพยนตร์สำหรับเรื่องนี้ถ้าเป็น Best in Class ยังไงก็ต้องชี้ไปที่ IMAX with Laser ครับ เพราะนอกจาก Dune: Part Two จะถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX ทั้งเรื่องแล้ว ผมอยากจะบอกว่าระบบเสียง 12 แชนแนลยังได้ทำงานของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะฉากลานต่อสู้บนดาว Gedi Prime ที่เสียงผู้ชม 360 องศากระหึ่มอัดเข้าตรงกลางจากรอบทิศทางทำให้ผู้ชมอดรู้สึกสั่นกลัวไปด้วยไม่ได้ มีไม่มากนักที่เสียงเอฟเฟกต์ทำผมขนลุกได้ และ Dune: Part Two คือหนึ่งในนั้นครับ Sound Design และรวมไปถึงเพลงประกอบ ไม่รู้จะติตรงไหนจริงๆ

DUNE

นักแสดงภาคนี้ก็ไม่มีใครยอมใคร ทุกคนต่างใช้ฝีมือชั้นเซียนในการฟาดฟันผ่านซีนภาพยนตร์ ตอนภาคแรกก็ว่าดาราเบอร์ใหญ่เยอะแล้ว ภาคนี้ก็มาสมบทกันอีก เสริมภาพให้หนังดูยิ่งใหญ่มากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคนี้ใครเป็นแฟนของ Zendaya ก็ดีใจกันได้ครับเพราะภาคนี้นางบทเยอะและชัดเจนขึ้นมาก ส่วนพี่ Timothee Chalamet ก็แสดงให้เห็นของการเติบโตของพอลได้อย่างดี ก็ไม่มีอะไรจะติอีกแหละเรื่องนักแสดง

DUNE

จะว่าไป Dune: Part Two แทบจะเป็นภาพยนตร์ที่ทำถึงทุกองค์ประกอบและแทบจะไร้ที่ติจริงๆ ในรอบหลายปี มันเป็นงานที่ถูกใส่ใจทุกรายละเอียด และเนี๊ยบจนน่าทึ่งมาก ถ้าจะหาเรื่องติโดยส่วนตัวก็คงอยากจะให้องค์ท้ายได้เวลาเพิ่มกว่านี้อีกสักหน่อยเพราะมันสนุกและยิ่งใหญ่เอามากๆ ทว่าถ้าผู้กำกับอยากนำเสนอแค่นั้นมันก็ไม่ได้คิดขัดอะไรมากมาย เพราะภาพยนตร์ก็มีความสมบูรณ์ในตัวมันเองอยู่แล้ว ยากที่จะบอกว่าขาดตกบกพร่องอะไรหากไม่ใช้รสนิยมส่วนตัว

DUNE

ผมอาจจะรู้สึกว่าตัวเองมีอิมเพรชชั่นแรงกว่าตอนนั่งดูภาคแรกอยู่สักหน่อย เพราะมันตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด และอาจจะเพราะรับชมภาคแรกมาหลายรอบแล้วจึงรู้สึกว่างานสร้างของ Dune นั้นมาตรฐานสูงมากเป็นธรรมดา พอมา Part 2 ที่มีการอัปเกรดขึ้นประมาณหนึ่งก็เลยอาจจะไม่ได้ว้าวมากมาย แต่คิดในทางกลับกัน ทีมงานที่อัปเกรดสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆ อยู่แล้วให้ไปสู่อีกระดับกันได้นี่ต้องมีฝีมือขนาดไหนกันนะ สำหรับผม Dune: Part Two คือสุดยอดงานที่หาข้อติแบบมีน้ำมีเนื้อได้ยากเหลือเกิน และหากใครที่ชอบภาพยนตร์สไตล์นี้อยู่แล้ว ก็คงไม่แปลกถ้ามันอาจจะกลายเป็นผลงานแห่งปีของคุณเลยก็ว่าได้

DUNE

VERDICT
9.5/10

และสำหรับผู้ที่ต้องการรับชมภาพยนตร์ในระบบ IMAX และอยากดูงานภาพเต็มๆ แบบไม่ต้องไล่สายตาไปกับซับไตเติ้ล ข่าวดีคือทาง Major Cineplex ได้มีการจัดฉาย Dune: Part Two แบบเสียงไทยในระบบ IMAX with laser ที่ Esplanade Cineplex Ngamwongwan-Khae Rai และระบบ IMAX ที่สาขา Westgate Cineplex รวมไปถึง Major Cineplex Central Chiangmai ครับ เลือกดูกันแบบที่ชอบได้เลย!

ดูรอบและสำรองที่นั่งได้ที่ – https://majorcineplex.com/booking2/search_showtime/movie=2218

ขอขอบคุณ Major Cineplex สนับสนุนการรับชม


ติดตามข่าวหนังอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้