ช่วงขวบปีนี้ต้องยอมรับกันเลยว่าหลังจาก MCU อ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่องจากผลงานที่ไม่เข้าตาแบบติดๆ กัน วงการภาพยนตร์ฮีโร่ก็ดูจะซบเซาไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่งานจากค่ายคู่แข่งโดยตรงอย่าง DC ที่ยิ่งพออยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านศักราช ความไม่แน่นอนก็เป็นปัจจัยที่ดูจะซ้ำเติมภาพยนตร์จากยุคเก่าของพวกเขาที่ยังคงค้างเติ่งไม่ได้ลงโรงฉาย
แม้แต่ภาพยนตร์ที่ทรงดีจัดอย่าง The Flash ก็ยังหัวทิ่มไม่เป็นท่ารายได้ขาดทุนกันยับๆ แล้วกับ Blue Beetle ที่ฟอร์มเล็กกว่าชัดเจนจะไม่เจอสถานการณ์ยากลำบากได้อย่างไร ถึงแม้ประธาน DC คนใหม่จะป่าวประกาศว่าพี่ด้วงฟ้านี้จะมีอนาคตในจักรวาลใหม่ของ DC แน่นอนก็เถอะ
สุดท้ายมันจึงเป็นความไม่สุดในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะในด้านการโปรโมตหรือคุณภาพของตัวโปรดักส์ อันที่จริงผมชอบตัวอย่างแรกของมัน เพราะทำได้ดีและกระตุ้นให้อยากรู้ว่าหมอนี่เป็นใคร ขณะที่ตัวหนังจริงนั้นเป็นหนังเด็กที่ดูง่ายไปทุกส่วนสัดแต่ก็ใส่คอนฟลิกต์ให้ตัวเอกเพื่อพยายามจะมีความ Coming of Age ไปด้วย ส่วนตัวก็เลยรู้สึกว่าขัดมู้ดไปหน่อย คือมันเป็นหนังที่ไม่แย่ และค่อนข้างดูสนุกเลย แต่มันก็ไม่ได้ไปสุดหรือมีอะไรที่น่าจดจำมากมายนัก
Blue Beetle เป็นหนังที่มีความสูตรมากๆ ง่ายทั้งการเล่าเรื่องและการรับชม อาจจะมีการบิดเล็กน้อยจากปกติ เช่นครอบครัวตัวเอกเป็นเม็กซิกันอพยพทั้งบ้าน ดังนั้นจึงมีวิถีของคนชายขอบในอีกแบบที่ต่างจากอเมริกันชนทั่วๆ ไป ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ชูก็คือเรื่องของครอบครัวที่มีเลือดนักสู้อันเข้มข้นแม้ต้องผจญกับการกดขี่ทางสังคมชนชั้น และพวกเขามักจะสู้ไปด้วยกันอยู่เสมอ
ตัวเอกอย่าง “ไฮเม่ เรเยส” นั้นคือเด็กหนุ่มเฟิร์สจ็อบเบอร์ที่แค่อยากจะหางานทำเพื่อนำมารายได้มาแบ่งเบาครอบครัว เขาเป็นคนเดียวในครอบครัวที่มีดีกรีปริญญาขณะที่น้องสาวไม่ได้เรียนต่อ ทำให้เจ้าตัวจะมีความกดดันในแบบของตัวเองว่าต้องทำงานมีเงินเยอะๆ ให้ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นหนุ่มซื่อๆ เซ่อๆ จริงใจไร้เหลี่ยม คิดเยอะจนโลเลในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ซึงมันจะสะท้อนออกมาให้เห็นตลอดทั้งเรื่องแม้กระทั่งในตอนที่เขาเป็น Blue Beetle แล้วก็ตาม
แม้จะเพราะบทบาทที่ถูกวางเอาไว้ แต่เรียนตามตรงว่าพอเป็นแบบนั้นมันกลับสร้างความน่าหงุดหงิดให้กับหนังพอสมควร อย่างการตัดสินใจต่างๆ ของตัวเอกซึ่งมันทำให้หลายๆ ฉากที่กำลังจะดีอยู่แล้วขาดความโฟลวหรือต่อเนื่องไปเลยเหมือนกับแผ่นสะดุด ที่เรากลับรู้สึกว่าถ้าตัวเอกมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจกว่านี้ ทีมสร้างอาจมีเวลาพัฒนาซีนอื่นและทำให้หนังถูกยกระดับขึ้นก็เป็นได้
พูดถึงตัว Blue Beetle ศักยภาพของมันคือกว้างมากๆ ไม่ว่าจะในแง่ความสามารถหรือการนำมันมาถ่ายทอดในรูปแบบต่างๆ ฉากบู๊ที่ทำออกมาค่อนข้างครีเอตพอสมควรเลย แต่ก็ไม่สุดอีก อาจจะด้วยทุนที่ไม่สูง ทำให้ตัวของ Blue Beetle ไม่ได้โชว์ของเท่าที่ควรบางฉากบู๊ก็มืดจนอาจมองไม่รู้เรื่อง รวมไปถึงมุมกล้องที่ชวนให้รู้สึกแปลกๆ และตั้งคำถามในบางจังหวะ ที่ว่าแรกเริ่มเดิมทีมันถูกออกแบบให้เป็นหนังที่ลงสตรีมมิ่งเพียวๆ ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนมาลงโรงฉายด้วยก็น่าจะจริง เพราะรู้สึกว่าหนังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความเป็นภาพยนตร์จอใหญ่ได้มากมายนัก
อย่างไรก็ตาม Blue Beetle ยังเป็นหนังที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มันมีทั้งความสนุก ย่อยง่าย ตื่นตา และความอบอุ่นจากครอบครัวที่พยายามสู้เพื่อกันและกันจนสามารถฝ่าฟันปัญหาชีวิตได้ (อยากให้จับตามองคุณย่าไว้ คนนี้ทีเด็ด) เป็นภาพยนตร์จากฝั่ง DC อีกเรื่องที่คอหนังฮีโร่สามารถตีตั๋วเข้าไปรับชมได้อย่างไม่ขวยเขิน มี Vibe แบบน้องๆ Iron Man จากอีกค่าย และแม้ไม่ถึงขั้นภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่มันจะเป็นหนังที่ได้รับพื้นที่ในใจจากผู้ชมหลายๆ คนอย่างแน่นอน
VERDICT
7/10
ดูรอบและสำรองที่นั่งได้ที่ – https://majorcineplex.com/booking2/search_showtime/movie=2041
ขอขอบคุณ Major Cineplex สนับสนุนการรับชม
ติดตามข่าวหนังอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ Online Station