ก่อนอื่นเลยยอมรับเลยว่าผมยังไม่เคยเปิดดู Squid Game เลยสักอีพีแม้จนป่านนี้ แต่ด้วยความดังระดับทะลักปรอทแตกของมันก็ทำให้พอจะเคยผ่านตานักแสดงบางคนมาบ้างตามโซเชี่ยลมีเดียร์และ “อีจองแจ” คือหนึ่งในนั้นที่ช่วงซีรีส์จุดพีคเป็นต้องได้เห็นหน้าพี่แกในทุกๆ ครั้งที่ไถฟีดเฟซบุ๊คไป
ด้วยความสัตย์จริงการเอาชื่อแกมาโปรโมตว่าเล่นเองกำกับเองกับหนังเรื่องใหม่อย่าง “HUNT ล่าคนปลอมคน” จึงไม่ได้กระตุ้นให้ผมอยากไปดูเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับคำโปรยว่าใช้กระสุนปืนในการถ่ายทำจริงเป็นหมื่นนัดก็พาลให้แค่ขมวดคิ้วบางๆ ว่าแล้วมันทำไมเหรอ ความสนุกของหนังมันแปรผันตามกระสุนรึไง?
ที่จริงมันอาจจะใช่ก็ได้…
ไม่รู้สิ ผมออกจากโรงมาด้วยอาการเมาเสียงยิงกระสุน ความรู้สึกแรกอาจจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ที่แน่ๆ คือโคตรมันส์ โคตรเดือด ยิงไม่พัก ซัลโวลูกตะกั่วกันเหมือนพรุ่งนี้จะไม่มีปืนให้ยิงอีกแล้ว และมันทำให้ผมรับรู้เลยว่า “อีจองแจ” คือบุคลากรคุณภาพของวงการบันเทิงเกาหลีใต้ขนาดไหน
***บทความนี้ไม่มีสปอยล์
“HUNT ล่าคนปลอมคน” พาเราย้อนไปในยุคเกาหลีใต้ยุค 80 ที่แม้จะเป็นเรื่องสมมติแต่ก็อิงความจริงในระดับหนึ่ง เมื่อการปกครองกำลังสั่นคลอนจากการประท้วง ประธาณาธิบดีสุ่มเสี่ยงต่อการลอบสังหารจากเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีเหนือที่จ้องจะเล่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน งานนี้ดูเหมือนจะมีหนอนบ่อนไส้ในองค์กรที่ใช้ชื่อ “ดงลิม” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองและหน่วยสืบราชการต่างสงสัยกันเอง การเฉือนคมสุดมันส์จึงเริ่มขึ้น
HUNT ดูเหมือนจะมีหน้าหนังคล้าย “2 คน 2 คม” แต่ดันอัดสเตียร์รอยด์ เดินเรื่องรวดเร็วปรู๊ดปร๊าด ไม่แคร์คนไม่เก็ตฉากหลัง พร้อมอัดบทสนทนาสุดคมคาย และบทบู๊ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ผลาญกระสุนหมดเป็นคลังแสง จนบางครั้งเรารู้สึกว่ามันถูกเอามามัดรวมในเรื่องเดียวกันได้ยังไง
ตัวหนังเรียกร้องความเข้าใจในบริบทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเกาหลีใต้ในยุคนั้นพอสมควร มีอธิบายบ้างในช่วงต้นเรื่องพอสังเขป ซึ่งเป็นการบอกผ่านเนื้อเรื่องและบทสนทนา ดังนั้นช่วงต้นเรื่องแทนที่หนังจะค่อยๆ จูงคนดูแล้วค่อยเร่ง พวกเล่นกระชากไปขึ้นรถยนต์ติดไนตรัสเลย คุณต้องมีสมาธิดูมากๆ ในช่วงแรก เพื่อปะติดปะต่อเซ็ตติ้งของฉากหลังให้ได้ ถึงแม้มันจะมีเรื่องของเผด็จการกับประชาธิปไตยเข้ามาเกี่ยวข้องจนคุณรู้สึกรีเลตกับมันได้ง่ายดายเหลือเกิน ทว่าด้วยชื่อที่ไม่คุ้นลิ้น กับการเดินเรื่องที่รวดเร็ว ถึงจะตั้งใจขนาดไหนก็อาจจะมีสิทธิ์หลุดได้เช่นกัน เพราะตัวเรื่องมีคอนฟลิกต์ที่มากกว่าแค่ 2 ฝ่าย และผู้สร้างใช้ประโยชน์จากตรงนี้ปั่นหัวคนดูอย่างสนุกเลยในช่วง 2 องก์แรกของหนัง
HUNT ยังประสบความสำเร็จในการสร้างมวลบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจระหว่างกันได้อย่างน่าชื่นชม เราไม่อาจไว้ใจใครได้ แม้ตัวหนังจะให้ดูชีวิตของสองตัวเอกอย่างพอสังเขป แต่เราก็รู้ดีว่าบางจุดหนังเลี่ยงจะไม่เล่าเพราะบางอย่าง ที่สำคัญคือตัวละครตายเป็นตายแบบไม่อ้อยอิ่ง ไม่มีซีนดราม่าลากยาว ทุกๆ ซีนดูตรงประเด็น กระชับ ก้าวร้าวดุดัน ดุเดือด ทั้งน่ากลัวอยู่ในที
ในพาร์ทเฉือนคม อีจองแจ และ จองอูซอง 2 รุ่นใหญ่คือเบ่งพลังใส่กันแบบไม่มีใครเอาใครลง สถานการณ์ชวนลุ้นพลิกไปพลิกมามายอมให้หยุดหายใจ แม้แต่ตอนเฉลยความจริง ตัวหนังก็ยังอัดคอนฟลิกต์ใหม่เข้ามาอีก พลิกผันไปมายันจบก็ยังไว้ใจใครไม่ได้ น่าเสียดายที่บทสรุปมันเหมือนโยนบางอย่างทิ้งไปและไม่พูดถึงต่อ แม้จะไม่การลงที่ไม่แย่ แต่เทียบกับความดีงามที่ทำมาทั้งเรื่องก็แอบรู้สึกว่าน่าผิดหวังไปหน่อย กับเรื่องของเวลาย้อนอดีตที่ทรานซิชั่นแบบไร้รอบต่อจนอาจสับสนนิดๆ ไปบ้างว่ากำลังเล่าไทม์ไลน์ไหนอยู่
“HUNT ล่าคนปลอมคน” ในภาพรวมคือหนังแอคชั่นทริลเลอร์ที่เดือดเกินคาด และอีจองแจก็ผ่านฉลุยกับงานกำกับเองเล่นเองเรื่องแรกที่เขาทำราวกับจะกำกับเป็นเรื่องสุดท้ายในโลกนี้แล้ว ถือว่าเป็นโปรแกรมที่ไม่ควรพลาดเลยสำหรับใครที่อยากจะดูหนังเฉือนคมบทเจ๋งๆ ท็อปปิ้งด้วยแอคชั่นเดือดๆ สักเรื่องครับ