พฤษภาคมเป็นเดือนที่ผมดูหนังไปแล้ว 4 เรื่อง ที่ยอดเยี่ยมคือเป็น 4 เรื่องที่มีดีในแบบของตัวเองทั้งนั้นและมันมีคุณภาพยอดเยี่ยมแบบที่ไม่ค้องกลัวว่าออกจากโรงมาจะเสียดายตังค์แต่อย่างใด ที่หน้าทึ่งคือหลังจากผมสนุกสนานกับหมอแปลก 2, อิ่มจนจุกกับซือเจ๊, ผ่อนคลายไปกับนิค เคจ ก็ยังอุตส่าอร่อยเหาะไปกับ Top Gun: Maverick ได้อีก บอกเลยว่านี่คือหนังที่ต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
***บทความนี้ไม่มีสปอยล์
Top Gun: Maverick คือเนื้อเรื่อง 36 ปีให้หลังเหตุการณ์ใน Top Gun ภาคแรก กัปตัน พีท “มาเวอร์ริค” มิทเชลล์ ตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นนักบินตัวเทพมีเหรียญประดับเสื้อมากมายแต่หน้าที่การงานก็ยังไม่ไปไหน ขณะที่เพื่อนๆ ขึ้นไปเป็นผบ. กันหมดแล้ว ด้วยวีรกรรมห่ามกระชากวัยกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป แม้แต่นักบินที่ฝีมือฉกาจที่สุดในโลกก็ยังต้องเผชิญช่วงเวลาไม่เข้าท่า เมื่อตัวเขาใกล้จะหมดความจำเป็น และงานสุดท้ายคือต้องไปฝึกเหล่านักบินหนุ่มสาวมือดีเพื่อไปทำภารกิจเสี่ยงตายโดยหนึ่งในนั้นคือลูกชายของคู่หูเขาที่เสียชีวิตในภาคแรก โชคชะตาราวกับเล่นตลกอีกครั้ง
เห็นพล็อตแบบนี้คนดูหนังมาเยอะๆ ถ้าจะเดาเรื่องได้ไปยันจบก็คงไม่แปลกอะไร ซึ่งก็จริงเพราะ Top Gun: Maverick ไม่ได้โดดเด่นในแง่ของความซับซ้อนเนื้อเรื่อง มันง่ายๆ ตรงไปตรงมา ทว่าก็ไม่ใช่ปัญหาเลยเพราะหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องดำเนินเรื่องได้ยอดเยี่ยมมาก
ที่จริงก็เป็นเรื่องน่าแปลก แม้ผมจะบอกว่าเล่าเรื่องได้ดี แต่มันก็ไม่ได้ฉูดฉาดฉวัดเฉวียนหรือเต็มไปด้วยเทคนิคโชว์ของแบบซือเจ๊หรือหนังยุคใหม่ ในทางกลับกันมันมีความเป็นหนังยุค 80-90 เล่าเรื่องไปตามลำดับในจังหวะที่ถูกต้องเน้นความอีโมชันแนลที่เกิดจากการแสดงควบรวมไปกับสถานการณ์ในเรื่อง เพซของมันไม่ใช่หนังยุคใหม่เลย แต่กลับกลมกล่อม คลาสสิค เต็มอารมณ์ แถมไม่ตกยุคอีกต่างหาก เรียกว่าผู้กำกับ โจเซฟ โคซินสกี้ อัปเกรดฝีมือของตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าตกใจ
อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Top Gun: Maverick คืองานภาพและเสียงที่ใช้พลังความเป็นภาพยนตร์ได้อย่างสุดขีดคลั่ง จึงต้องบอกไว้เลยตรงนี้ว่าถ้าอยากดู Top Gun: Maverick อย่างเต็มอารมณ์ก็ต้องในโรงภาพยนตร์เท่านั้นครับ และถ้างบถึงก็เอาโรงที่จอใหญ่ๆ เสียงดีๆ ไปเลย อันนี้แนะนำจริงๆ
เพราะลำพังแค่เสียงของเครื่องบินในเรื่องก็ทำเอาสั่นสะท้านแล้ว ยังมีเรื่องของงานภาพที่เด็ดดวงมากๆ สมกับเป็นหนึ่งในเครื่องมือ PR ของกองทัพเรือสหรัฐฯจริงๆ คือถ่ายทั้งนักบินทั้งเครื่องบินออกมาได้เท่ห์และชวนใจเกเรมากๆ จะว่าไงดี มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าต้องเทิดทูน หรืออยากจะแค่ชื่นชม แต่มันเป็นงานภาพที่ทำให้เรารู้สึกหลงไหลเกิดความต้องการที่จะกระโจนเข้าไปลูบๆ คลำ F18 ในเรื่องเอาจัดๆ
ในขณะที่ฉากแอคชั่นก็ระทึกอย่างบ้าคลั่ง แม้เราจะพอเดาฉากจบได้ แต่บรรยากาศมันบิลต์ให้เรารู้สึกตึงไม่ต่างจากนักบินในเรื่อง ลุ้นจิกเบาะจิกข้อเท้ากันตลอดเวลา องค์ 3 ของเรื่องยอดเยี่ยมมากๆ ในแง่ของการเล่าเรื่องและสร้างบรรยากาศร่วม
สารภาพตามตรงว่าตอนต้นปีผมคิดไปว่า Top Gun: Maverick น่าจะเป็นหนึ่งในหนังที่ไม่น่าจะได้เข้าไปดู หรือต่อให้ดูก็คงจะไม่เอนจอยกับมันมากนัก แต่ตัวหนังเรื่องนี้ก็คงเหมือนกับ “มาเวอร์ริค” พระเอกของเรื่องที่มักจะมีความคาดไม่ถึงมาฝากกันเสมอๆ ดูจบแล้วอิ่มเอมมากๆ เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมในโรงภาพยนตร์ที่ไม่อยากให้พลาดกันจริงๆ ไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกมาก่อนก็ดูได้ ต่อติดไม่ยาก เชียร์มากๆ ครับ