ก่อนหน้านี้ในช่วงที่โควิดระบาดหนักๆ และเราๆ ไม่สามารถเข้าโรงหนังกันได้นานนมจนต้องพึ่งบริการสตรีมมิ่งเพื่อเสพย์คอนเทนต์แทน ก็บังเกิดคำถามมากมายว่าแล้วหลังจากนี้เรายังต้องการโรงหนังอยู่ไหม ซึ่งก็มีการคอมเมนต์กันอย่างกว้างขวาง มีทั้งต้องการและไม่จำเป็นแล้วซึ่งก็ว่ากันไป แต่อย่างไรเสียผมอยากบอกว่า DUNE คือคำตอบที่ดีคำตอบหนึ่งว่าโลกใบนี้ยังคงต้องการโรงหนังอยู่ เพราะผมสามารถบอกได้เลยว่าถ้าดูบนแพลตฟอร์มอื่น ผมคงไม่อาจตราตรึงกับมันได้ถึงขนาดนี้
***รีวิวนี้ไม่มีสปอยล์เนื้อเรื่อง
พูดถึงตัวหนังกันก่อน DUNE เป็นภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงจากงานเขียนชื่อเดียวกันของ แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต โดยมันถูกบอกว่าเป็นนวนิยายที่ไม่มีวันกลายเป็นหนังที่ดีได้ ด้วยความลุ่มลึกและซับซ้อนของเนื้อหา ซึ่งข้อจำกัดด้านเวลาของการเป็นภาพยนตร์นั้นจะส่งผลให้ DUNE เป็นคอนเทนต์ที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง
ทว่ากับ DUNE เวอร์ชั่นนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้กำกับมือดีอย่าง เดนิส วิลเลเนิร์ฟ ที่สามารถแปลงความซับซ้อนเหล่านั้นให้เป็นภาษาบนแผ่นฟิล์มซึ่งง่ายต่อการเข้าถึงจนน่าตกใจ ชนิดที่ว่าภรรยาผมที่ไปนั่งดูด้วยกันซึ่งไม่เคยรู้จัก DUNE มาก่อนยังนั่งดูได้อย่างเข้าใจ ทั้งๆ ที่ตัวเรื่องเต็มไปด้วยชื่อเฉพาะและฝักฝ่ายให้จดจำมากมาย
ส่วนตัวผมที่ไม่เคยอ่าน DUNE เช่นกัน แต่ทำการบ้านเรื่องฝักฝ่ายและลักษณะเรื่องราวไปก่อนหน้านั้นมองเห็นข้อเสียมันแค่ความไม่จบในตอนก็เท่านั้น เพียงข้อเดียวจริงๆ แต่มันดันเป็นข้อใหญ่ เพราะหนังเหมือนโดนหั่นครึ่งเอาดื้อๆ แบบคลิฟแฮงเกอร์ ที่แม้จะชวนให้รู้สึกว่าภาค 2 มาเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันควรส่งจบได้ดีกว่านี้อีกสักนิดหนึ่ง
มันอาจเพราะผมชอบธีมของเรื่องมากๆ เลยทำให้อีกสิ่งหนึ่งที่คนบ่นกันอย่างการสโลว์เบิร์นเล่าเรื่องเอื่อยๆ เครื่องติดช้าๆ อันเป็นซิกเนเจอร์ของวิลเลเนิร์ฟทำอะไรผมไม่ได้เลย บอกก่อนว่าผมเองไม่ใช่แฟนงานของวิลเลเนิร์ฟขนาดนั้น ผมชอบ Arrival แต่นั่งหลับตอน Blade Runner กับ DUNE เองอาจจะยังเล่าช้าแต่ผมว่าจังหวะในภาพรวมนั้นมีความว่องไว กระชับ และชวนตื่นเต้นมากกว่า Blade Runner ระดับหนึ่งซึ่งผมโอเคมากๆ
ความยอดเยี่ยมที่สุดของ DUNE คือความเป็น Cinematography ของมัน มันมีความเป็นภาพยนตร์สูงมาก การเล่นแสงเงา เลือกโทนสี คอสตูม เน้นถ่ายฉากกว้างๆ ให้เห็นถึงโลกในตัวหนัง มันราวกับจะโอบรับผู้ชมและกวาดต้อนเราเข้าไป งานละเอียดจนแทบหยุดหายใจ ก็คงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุให้ผมไม่ติดใจในความช้าของมัน เพราะนั่งดูแต่ละช็อตแต่ละซีนภาพที่ถูกถ่ายทำออกมามันก็เลอค่ามากๆ ราวกับได้อัปเกรดสายตาไปอีกขั้นจริงๆ และแน่นอนว่าของดีๆ แบบนี้ก็ต้องดูในจอใหญ่ๆ ระบบดีๆ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นครับ จึงจะเติมเต็มประสบการณ์ดูเรื่องนี้ได้อย่างเต็มเปี่ยม
ทิโทธี ชาลาเมธ์ ผู้รับบท พอล อาทรีดิส ตัวเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมอาจจะผ่านงานเขามาบ้าง ไม่ได้ตามงานขนาดนั้น รับรู้แค่เพียงเป็นนักแสดงหนุ่มฝีมือฉกาจคนหนึ่ง ต้องบอกว่าสอบผ่านกับบทแบกเรื่องได้อย่างสบายๆ พูดเป็นภาษาชาวบ้านคือเท่สัสๆ เท่ชิบหาย เราจะได้เห็นการเติบโตของตัวละครตัวนี้อยู่ตลอดเรื่อง และเมื่อลองนำตัวของพอลตอนต้นเรื่องกับท้ายเรื่องมาเทียบกัน ก็จะเห็นภาพชัดเจนเลยว่าตัวละครนี้เปลี่ยนไปขนาดไหน แววตาของทิโมธีนั้นบอกได้ทุกอย่าง น่าปรบมือให้รัวๆ
รีเบคกา เฟอร์กุสัน ในบทของเจสซิกา แม่ของพอล ผมว่าเธอยังสวยเกินจะเป็นแม่ไปหน่อย (ฮา) เรื่องการแสดงผ่านฉลุยอยู่แล้ว ติแค่ยังสาวไปนี่แหละ ขณะที่ตัวละครสมบทอื่นๆ ก็เบอร์ใหญ่ๆ ทั้งนั้น แต่เพราะบทเทไปทางพอล เราก็อาจไม่เห็นแคสต์ชื่อดังเหล่านั้นมีแอร์ไทม์มากนัก แต่ก็พอเข้าใจได้
ในส่วนของเพลงประกอบได้ ฮานส์ ซิมเมอร์ เจ้าพ่อของวงการมาทำให้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดถึงแล้ว นั่งดูในโรง IMAX ซาวด์แต่ละช่วงมาคือฉี่แทบราดกะเอาตายกันไปข้างเลย เรียกว่าเสียงก็มาภาพก็มี ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ดู DUNE ในโรงภาพยนตร์
DUNE ถือเป็นการเปิดปฐมบทมหากาพย์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ความเป็นภาพยนตร์ของมันนั้นแทบจะไร้ที่ติ มันมีทั้งความยิ่งใหญ่ สเน่ห์ความความเป็นไซไฟที่ยากจะหาเรื่องใดเสมอเหมือน เป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ไม่ได้เดินตามสูตร เป็นอาหารชั้นเลิศที่อาจต้องใช้เวลากับมันในการค่อยๆ ละเลียดกิน ลิ้มรสช้าๆ เพื่อให้สัมผัสได้ถึงทุกอนูคุณภาพของวัตถุดิบ แต่คุณจะไม่เสียดายเวลาชีวิตใดๆ ในการลิ้มรสมัน และฉับพลันพอรู้ตัวอีกทีอาหารจานนั้นก็ได้หมดลงไปและปล่อยให้คุณอารมณ์ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น
ด้วยความที่กลายเป็นหลงรักในหลายๆ เอเลเมนต์ของหนังเรื่องนี้ ทำให้คะแนนที่จะให้เลยอาจหาความเป็นกลางไม่ได้นัก ถ้าไม่ใช่คนที่หลงอะไรแบบนี้อาจจะหักมันไปสัก 1 หรือ 2 คะแนนก็ได้ครับ แต่ผมก็ยังจะยืนยันว่าการได้ดู DUNE ในโรงภาพยนตร์คือประสบการณ์ดูหนังที่ดีที่สุดในรอบปีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย