Mother Gamer เกมเมอร์ เกมแม่ รีวิว – อาจไม่ใช่งานที่ถึงขั้นไร้เทียมทาน แต่สารที่ตรงใจก็ทำให้เราอินได้ไม่ยาก
Mother Gamer เกมเมอร์ เกมแม่ รีวิว – ปกติแล้วภาพยนตร์ไทยหากไม่ใช่แนวสำเร็จหรือแนวตลาด (รอมคอม GDH, หนังผี หรือ หนังตลก) หลายๆ คนก็มักจะเตรียมใจกันไว้ก่อน เพราะคุณภาพสามารถออกมาหน้าไหนก็ได้ทั้งนั้น อย่างไรก็ตามส่วนตัวผมมักจะบวกคะแนนให้หนังแนวนี้ล่วงหน้าไว้ก่อน ด้วยความกล้าที่จะทำหนังในแนวทางต่างออกไป ซึ่งแน่นอนว่าเสี่ยงต่อการเจ๊งอยู่มาก ทั้งยังยากที่จะทำออกมาให้ได้ดี เพราะไม่มีไกด์ไลน์มาก่อน
สำหรับ Mother Gamer เกมเมอร์ เกมแม่ นั้นก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ผมค่อนข้างเข้าใจว่าบางเอเลเมนต์ตัวหนังอาจจะนำเสนอยากสักหน่อย หรืออย่างน้อยก็ทำให้ดีได้ยากจากข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ทำให้ผมไม่อาจคาดหวังกับมันไว้สูงนัก ทว่าอีกใจหนึ่งก็หวังอยู่ว่ามันจะออกมาไม่แย่จนเกินไปแล้วมีจุดน่าชื่นชมให้สามารถยกมาเชียร์ให้ไปดูกันได้ ซึ่งผลลัพท์ที่ออกมาก็เป็นไปตามนั้นครับ หนังอาจไม่ถึงขึ้นตะโกนชมได้เต็มปากว่ายอดเยี่ยม แต่ก็ยังควรค่าแก่การลองรับชมดูในโรงภาพยนตร์
เราสามารถพูดสรุปเป็นภาพรวมได้ว่า Mother Gamer เกมเมอร์ เกมแม่ เล่าเรื่องความสัมพันธ์แม่-ลูก เป็นหลัก โดยที่มีเกม (ในกรณีนี้คือ RoV) เป็นทั้งกำแพง/สะพานเชื่อม ช่วยยึดโยงตัวภาพยนตร์ให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งยังทำให้ตัวหนังสามารถใส่ลูกเล่นต่างๆ ให้การเล่าเรื่องสามารถหวือหวาฉวัดเฉวียนขึ้นได้ เพราะฉะนั้นการที่แก่นแท้เน้นพูดถึงเรื่องครอบครัวแม่ลูกเป็นหลักก็เป็นการตอกยํ้าว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้เล่น RoV ก็สามารถรับชมภาพยนตร์ในแบบที่เข้าใจได้ ในทางกลับกันผมกลับมองว่าคนที่เล่น RoV แบบจริงจังไปเลยอาจดูเรื่องนี้แล้วหงุดหงิดมากกว่า และคนที่น่าจะดูหนังเรื่องนี้แล้วมีความสุขที่สุดคือ คนที่มีความเข้าใจในเอเลเมนต์เกม MOBA รู้จัก RoV แต่ไม่ได้เล่นมันจริงจังนัก หรือไม่ได้เล่นเลย เพราะเอาจริงๆ พาร์ทของซีนเกมเองนี่แหละที่เป็นจุดอ่อนของหนัง เพราะไม่สามารถถ่ายทอดอัตราความเดือดได้ใกล้เคียงการแข่งขันจริงๆ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อกังวลที่ผมพูดถึงข้างต้น และพอจะเข้าใจว่าทำไมมันออกมาอีหรอบนี้
ส่วนที่ชอบสุดคงหนีไม่พ้นสารสำคัญของหนัง ความสนใจที่แตกต่างกันของคน 2 วัย หลายๆ คนอาจมองว่ามันดูเป็นการทะเลาะทุ่มเถียงกันในประเด็นที่อาจจะดูเบาไปหน่อย และการแสดงออกในเรื่องดูเกินเลยไปนิด แต่ผมอยากจะยืนยันว่ามันไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด และประเด็นดูเบาบางแบบนี้แหละที่ทำให้หลายๆ ครอบครัวประสบปัญหามานักต่อนัก เพียงเพราะไม่ทำความเข้าใจกัน และส่วนตัวผมเองก็เคยอยู่ในสถานภาพคล้ายๆ กับตัวละครโอม ทำให้ค่อนข้างอินและคล้อยตามไปได้ง่ายๆ การที่หนังดันประเด็นนี้ให้เป็นเมสเสจใหญ่และตรงใจผู้ชมอย่างผม ไม่ว่าจะปัญหาที่เกิด การแก้ไข และบทสรุป ทำให้รู้สึกอยู่ในใจแค่ว่า “นี่แหละ แค่นี้จริงๆ ที่ต้องการ”
มันน่าเศร้าตรงที่ปัญหาเหล่านี้มันเกิดขึ้นทั้งๆ ที่แม่กับลูกก็รักกันดี แต่กลับต้องมาแตกหักกันเพียงเพราะ “คนที่เรารักปฏิเสธสิ่งที่เรารัก” ซีนท้ายๆ ของหนังที่หลายๆ คนอาจมองว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ดูง่ายๆ แต่ผมเองกลับชอบมากๆ เพราะเอาเข้าจริงคนเล่นเกมก็ไม่ได้ต้องการอะไรที่ซับซ้อนมากมายเลย และมันง่ายๆ แบบนี้แหละ คล้ายกับการบอกเป็นนัยๆ ว่า “มันง่ายใช่ไหมล่ะ พวกคุณเองก็ทำได้น่า ไม่ยากหรอก” มันสวยงามจริงๆ ในแง่ของการเป็นหนังครอบครัว
อย่างไรก็ดีนอกจากซีนเกมที่เป็นจุดอ่อน ผมยังรู้สึกว่า Story Telling น่าจะยังเร้าได้มากกว่านี้ ที่เป็นอยู่มันแห้งและเนือยไปหน่อย อีกทั้งแอคชั่นซีนใหญ่ทั้ง 2 ฉากก็ใช้การสโลว์โมชั่นจนกลายเป็นลดเทมโปความเดือดที่กำลังไต่ระดับขึ้นของหนังไปเสียฉิบ ส่วนตัวละครเสริมอื่นๆ จริงๆ มันเหมือนจะโอเคแล้ว ติดตรงตัวละคร กอบศักดิ์ ของเติร์ด ที่อยู่ในฐานะตัวเอกอีกคน ที่น่าสนใจจนผมรู้สึกเสียดายที่มิติของมันยังไม่มากพอ และการกระทำบางอย่างก็ยังแอบขาดเหตุผลรองรับหรือไม่เคลียร์ไปสักนิด รวมไปถึงตัวละครไกด์ที่แอบย้อนแยงในการกระทำไปสักหน่อย
Mother Gamer เกมเมอร์ เกมแม่ เป็นงานที่อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกผิดหวังที่ได้รับชม และแน่นอนว่าผมชื่นชมความกล้าทั้งแนวคิด เทคนิคการนำเสนอ รวมถึงการชูประเด็นที่มันดูเล็กๆ ให้มันเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่มันควรจะเป็น ผลสรุปสุดท้ายก็อย่างที่จั่วหัวไป มันไม่ใช่หนังที่ไร้เทียมทาน แต่ผมอยากจะเชียร์มัน และน่าจะทำให้หลายๆ คนรู้สึกอิน และตกหลุมรักมันได้ไม่ยากครับ
7.5/10