Sonic The Hedgehog กับ 5 เหตุผลว่าทำไมควรเสียเงินเข้าไปดูเจ้าเม่นสายฟ้าตัวนี้!
Sonic The Hedgehog หรือเม่นสายฟ้าโซนิค กลายเป็นชื่อที่กลับมาอยู่ในความสนใจของมวลชนคนแมสอีกครั้งเมื่อราวๆ ช่วงปีก่อน เริ่มตั้งแต่การหลุดโปสเตอร์เผยโฉมดีไซน์แรกฉบับภาพยนตร์ของเจ้าโซนิคที่ไม่ถูกใจแฟนๆ อย่างแรง ก่อนจะมาระเบิดเอากลายเป็นปัญหาด้านป๊อปคัลเจอร์ระดับนานาชาติเมื่อเทรลเลอร์ตัวแรกสุดของภาพยนตร์ถูกปล่อยสู่สายตาประชาคมชาวโลก ก่อนจะลงเอยด้วยการยอมถอยของทางบริษัทภาพยนตร์เพื่อนำตัวชิ้นงานกลับไปแก้ดีไซน์ของโซนิคใหม่ จนออกมาเป็นโซนิคดีไซน์ปัจจุบันที่ทำเอาแฟนๆ ยิ้มออกในที่สุด
และในวาระดิถีที่ภาพยนตร์เรื่อง Sonic The Hedgehog กำลังจะเข้าฉายในไทย (ซึ่งตามหลังทางอเมริกาเกือบ 2 อาทิตย์) ผมก็อยากเชียร์ให้ทุกคนได้ไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้กัน แม้ว่าตัวผมเองจะยังไม่ได้ดูก็ตาม แต่จะเพราะอะไรนั้น ลองตามมาอ่านกันดูครับ
“โลกนี้เต็มไปด้วยภาพยนตร์กากๆ ที่ดัดแปลงจากเกมมากมาย แต่โซนิคไม่ใช่ 1 ในนั้นแน่ๆ” – มิตรสหายท่านหนึ่งใน Rotten Tomatoes
– จริงๆ แล้วก็เป็นประโยคง่ายๆ ไม่ได้มึความพิเศษทางด้านภาษาหรือลึกลํ้าในแง่การเปรียบเปรยมากมาย ทว่าในความซิมเปิ้ลของมันก็สื่อความหมายง่ายๆ แต่มหาศาลในความรู้สึก เพราะอย่างน้อยมันก็สร้างความรู้สึกต่อจิตใจว่ามันก็ไม่ได้แย่นะ ซึ่งแค่คำว่าไม่ได้แย่นะนี่แหละ ก็น่าจะสร้างความมั่นใจให้กับคนที่ยังลังเลอยู่ให้ตัดสินใจลองไปดูได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันหากเป็นแฟนคลับโซนิคอยู่แล้ว ก็คงสร้างความชื้นใจได้ไม่น้อยและตีตั๋วไปดูพร้อมเชียร์ได้อย่างไม่มีตะขิดตะขวงอีกต่อไป
มะเขือยังคงสดอยู่แม้ฉายมา 2 อาทิตย์แล้ว
– ถึงจะยังไม่ไม่เข้าขั้น Certified และบางคนก็มองว่าเว็บนี้ไม่ใช่มาตรวัดในการดูหนังทั้งหมด แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเว็บไซต์มะเขือเน่าหรือ Rotten Tomatoes นี่แหละ คือสิ่งที่หลายๆ คนนึกถึงเวลาต้องการจะเช็คกระแสหนังใหม่ ทำให้ตัวเว็บมีพลังและอิทธิพลอย่างมากในการโน้มน้าวการตัดสินใจของผู้ชม โดยเฉพาะกับภาพมะเขือเทศที่มาพร้อมเปอร์เซ็นความสดซึ่งจัดว่ามีความสำคัญและอิมแพคต่ออายบอลมากกว่าคะแนนจริงๆ เสียอีก (เผื่อใครไม่รู้เว็บนี้มีคะแนนภาพยนตร์แยกออกจากเปอร์เซ็นต์ความสดของมะเขือเทศนะครับ) และเมื่อมันยังมีความสดสีแดงมาจนถึงวันนี้ ก็การันตีได้รับดับหนึ่งว่าเรื่องนี้น่าจะมีดีกว่าที่หลายคนคาดคิด อย่างน้อยๆ ก็หักปากกาเซียนที่ว่าเรื่องนี้จะออกมาเน่าได้แหละ
กวาดรายได้ใน US เกิน 100 ล้านเหรียญ ทั่วโลกผ่านหลัก 200 ล้าน
– อนาคตของ Sonic ดูจะสดใสจริงจังช่วงตอนเข้าฉายวีคแรกในอเมริกา เพราะก่อนหน้าก็มีการคาดเดาไว้ว่าหนังน่าจะเปิดตัวด้วยรายรับไม่เกิน 30 ล้านเหรียญ แต่เมื่อฉายจริงปรากฎว่าตัวหนังกวาดไป 57 ล้านเหรียญ (ก่อนไปแตะ 68 ล้านในวันจันทร์) ทำให้ Sonic กลายเป็นภาพยนตร์ดัดแปลงจากเกมซึ่งทำเงินเปิดตัวสูงที่สุดแซงหน้า Detective Pikachu ที่ทำไว้ 54 ล้านเหรียญเมื่อปีก่อนไปโดยปริยาย และพอเข้าวีคที่ 2 ก็เก็บเกิน 100 ล้านได้สำเร็จ ในขณะที่รายรับทั่วโลกก็จัดไปอีกเกือบ 100 ล้าน ทำให้เวลานี้ Sonic เก็บรายรับแตะหลัก 200 ล้านเหรียญแล้ว ได้ที่ยังอยู่ในโปรแกรมฉายและมีอีกหลายประเทศที่เตรียมจะฉายครับ
สร้างความมั่นใจให้กับค่ายหนังว่าหากดัดแปลงภาพยนตร์จากเกมได้อย่างมีคุณภาพ แฟนๆ ก็พร้อมอุดหนุน
– ในอดีตนั้นการทำหนังจากเกมมักถูกมองว่าเป็นความเสี่ยง เพราะลงทุนขนาดไหนถ้าไม่ถูกใจแฟนๆ ก็พร้อมเจ๊งทุกเมื่อ อีกทั้งหลายๆ ครั้งความเป็นเกมก็ถูกพรูฟในโลกภาพยนตร์ว่าไม่ได้โด่งดังหรือดึงดูดผู้ชมทั่วไปขนาดนั้น หลายๆ IP ชื่อดังต่างก็เคยมาทิ้งชื่อในอุตสาหกรรมภาพยนตร์นักต่อนัก กระทั่งความสำเร็จของ Detective Pikachu เมื่อปีที่แล้วซึ่งกลายเป็นการจุดกระแสให้เห็นว่า หนังจากเกมจะทำให้ดีก็สามารถทำได้ หาก Sonic ประสบความสำเร็จตามมาก็จะถือว่าเป็นการตอกยํ้าภาพนั้น และน่าจะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์พิถีพิถันกับหนังจากเกม รวมถึงเปิดโอกาสให้เกม IP อื่นๆ ได้มีโอกาสกลายเป็นหนังมากขึ้นครับ
สดุดีแด่ทีม CG ที่แก้งานได้สำเร็จแต่บริษัทกลับปิดตัวลงไปอย่างน่าเศร้า
– หนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้ Sonic ถูกจับตามองมากๆ ในช่วงหลังก็คือการแก้งานของทีม CG ในเวลาจำกัดจำเขี่ยนี่แหล่ะครับ โดยหลังจากเทรลเลอร์แรกที่มี Sonic รูปลักษณ์สมจริงถูกปล่อยออกมาก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง อิมแพคถึงขนาดผู้สร้างต้องออกมาเบรคหนังตัวเองและบอกว่าจะแก้งานให้ได้ตามความต้องการของแฟนๆ มากที่สุด แน่นอนว่าตอนนั้นแฟนๆ ทั่วโลกต้องเฮกันถ้วนหน้า แต่ถ้าจะมีกลุ่มคนที่โอดครวญกับประกาศนี้ก็คงเป็นใครไม่ได้นอกจากทีมที่จะต้องรับผิดชอบในการแก้งาน CG ซึ่งเวลานั้นน่าจะ Post Production กันเกือบเสร็จทั้งเรื่องแล้ว โดยสโคปงานสามารถพูดได้เรียบง่ายแต่โหดร้ายจัดๆ ในทางปฏิบัติเพราะพวกเขาต้องแก้ CG ของตัวเอกอย่าง Sonic ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับการแก้งานทั้งเรื่องเลยนั่นเอง มิหนำซํ้าหลังจากพากันตรากตรำแก้งานหามรุ่งหามคํ่ากันจนเสร็จเรียบร้อยทันฉายต้นปีนี้ บริษัทก็ดันมาปิดตัวลงอีก เรียกว่าซวยจริงๆ สำหรับพนักงานหาเช้ากินคํ่า ทำให้ผมคิดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะดีหรือไม่ดีอย่างไรอย่างน้อยก็คิดว่าจะไปดูเพื่อสดุดีแก่การแก้งานครั้งประวัติศาสตร์คราวนี้ครับ
Sonic The Hedgehog มีกำหนดฉายวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ครับ