Godzilla 2014 ถือเป็นการพา “พี่ก็อตจิ” มาแก้ตัวต่อชาวโลกของฝั่งฮอลลิวูด หลังจากภาคปี 1998 โดนสาปส่งไปไม่น้อย โดยเฉพาะดีไซน์ของตัวก็อตซิลล่า ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้เป็นหนังที่แย่นัก ทั้งยังสนุกอยู่พอตัว และหลายๆ ภาคส่วนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันประมาณว่า “หากมันไม่ได้ชื่อว่า Godzilla คงจะมีคนสรรเสริญตัวหนังมากกว่านี้” สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไอคอนนิคของตัวก็อดซิลล่าเองซึ่งมีภาพติดตาเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ยืน 2 ขาร่างกายกำยำส่วนหัวคล้ายๆ จระเข้ และที่สำคัญต้องปล่อยลำแสงได้ ดังนั้นแล้วทางฮอลลิวูดโดย Warner และ Legendary จึงขอแก้ตัวอีกครั้งด้วย Godzilla 2014 ซึ่งตัวก็อดจิถูกปรับดีไซน์เล็กน้อยแต่ยังคงโครงร่างอันเป็นภาพจำของแฟนๆ ไว้อย่างครบถ้วน จนกลายเป็นดีไซน์ Godzilla ที่ทุกคนให้การยอมรับ และดูดีเป็นลำดับต้นๆ ในหมู่ดีไซน์ก็อดซิลล่าด้วยกันเลยทีเดียว (โดยส่วนตัวคิดว่านี่คือดีไซน์ที่เพอร์เฟคสุดของก็อดซิลล่า)
ผลสุดท้ายคือ Godzilla 2014 ประสบความสำเร็จพอสมควร จนโปรเจค Monsterverse ของทาง Warner เป็นรูปร่างมากขึ้น ก่อนตามมาด้วย Kong: Skull Island และ King of the Monsters ในฐานะภาพยนตร์ลำดับ 3 ของจักรวาล Monsterverse โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปจากภาคแรกคือภาคนี้ถูกวางเป็นภาพยนตร์ Monster Rumble เต็มรูปแบบ ผิดเซ็ตติ้งจากภาคแรกที่ดูเป็นภาพยนตร์กึ่งๆ ภัยธรรมชาตินิดๆ
ถ้าใครชอบภาคปี 2014 อาจจะรู้สึกผิดหวังไม่มากก็น้อย เพราะบรรยากาศลึกลับ พลางผสมความน่าพรั่นพรึงของ “สัตว์ยักษ์ล้างโลก” ได้ถูกสลายไปหมดสิ้น ไม่มีการวับๆ แวมๆ ให้ได้ตื่นกลัวอีกต่อไป หรืออารมลุ้นว่าก็อดซิลล่าจะทำอะไรกับมนุษย์ไหมก็มลายไปเช่นกัน เพราะภาคนี้แบ่งขั้ว พระเอก-วายร้าย กันอย่างชัดเจน อีกทั้งพาร์ทของคนแม้จะต่อยอดและดูดีขึ้นหน่อย แต่ขณะเดียวกันก็ทวีความน่ารำคาญเป็นเงาตามตัว หลายๆ ครั้งผมลองปล่อยตัวไปกับหนังก็พอเข้าใจในพฤติกรรมหรือการกระทำของตัวละครได้ส่วนหนึ่ง ถึงอย่างนั้นอารมณ์ก็จะโดนฉุดด้วยไดอาล็อกบทพูดแปลกๆ อยู่ตลอด คล้ายว่านึกไม่ออกว่าจุดนี้ตัวละครควรพูดว่าอะไรดี ก็ยัดๆ บทพูดงงๆ เข้ามา เป็นมุขบ้างก็บ่อยครั้ง แต่รู้สึกว่าระดับที่พอขำจริงจังนี่แทบจะนับครั้งได้ ดังนั้นแล้วให้ทำใจไว้ก่อนว่าถึงหนังจะเป็นภาคต่อของปี 2014 แต่การวางตัวของมันก็ต้องบอกว่าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะถูกมองข้ามทันทีหากคุณเป็นแฟนก็อตซิลล่าของ TOHO ชนิดว่าเติบโตมาด้วยกัน และชอบที่มันเป็นแบบนั้น เพราะนี่คือก็อดซิลล่าในแบบที่คุณคุ้นเคยเสริมเติมด้วยเทคโนโลยีปี 2019 และเงินทุนฮอลลิวูดระดับ 200 ล้านเหรียญ!
หนังใช้เวลาปูเรื่องแค่ไม่กี่นาทีเราก็ได้เห็นก็อดซิลล่าแบบเต็มๆ ตัว ชนิดที่พร้อมบวกแล้ว และหลังจากนั้นคือยูโทเปียของคนอยากเห็นหนังสัตว์ประหลาดตีกัน แม้น่าจะยังติดขัดกับพาร์ทคนที่ฉุดอารมณ์จริงๆ ทว่ากับฉากที่ทำมาเพื่อเอาใจแฟนๆ ดั้งเดิมนั้นบอกเลยว่ากะเอาให้ฟินตายกันไปเลย ทั้งการใส่สกอร์ต้นฉบับซึ่งถูกทำให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น หรือแม้แต่การใส่ Easter Egg ซึ่งดูจะมีศักยภาพในการเล่าเรื่องต่อในบทถัดๆ ไปก็เข้าทีไม่หยอก
อย่างไรก็ตามแม้ตัวผมจะเป็นประเภทที่เห็นก็อดซิลล่าโผล่ในหนังก็ตั้งคะแนนไว้ไม่หย่อน 8 ล่วงหน้าแล้ว แต่กับฉากต่อสู้นี่ต้องบอกว่าหนังทำได้ระดับ 85-90 เปอร์เซ็นต์จากที่หวังไว้ครับ คือสะใจแหละ แต่รู้สึกว่ามันยังสุดได้มากกว่านี้ยังเต็มตาจัดหนักได้มากกว่านี้ เพราะมีหลายๆ ช่วงที่พอกำลังๆ ตีๆ กันอยู่ก็ตัดสลับมาพาร์ทคนเสียอย่างนั้นมันเลยสะดุดนั่นแหละครับ แต่ในภาพรวมคือหนังนำเสนอในส่วนที่ตนอยากขายได้โดนใจแฟนๆ แน่นอน มันคือ Monster Rumble ขนานแท้แบบที่แทบไม่ต้องสนเนื้อเรื่องใดๆ แฟนๆ ก็สามารถสนุกกับมันได้ครับ
ในทางกลับกันหากคุณไม่ได้เห็นก็อดจิเป็นไอคอนิค หรือดูก็อดซิลล่าเป็น “หนังสัตว์ประหลาด” เรื่องหนึ่งหรือชอบบรรยากาศแบบปี 2014 มากๆ ก็ต้องเผื่อใจกันไว้ครับมันแทบจะไม่มีสิ่งที่คุณชื่นชอบจากภาคก่อนหน้าเลย ในทางกลับกันห่างเป็นแฟนก็อดจิยุคเฮเซ นี่คือหนังเวอร์ชั่นอัพเกรดที่มาพร้อมสิ่งตื่นตามากมายทั้งของใหม่และของเก่าๆ ที่ชวนให้คิดถึง ทั้งยังส่งต่อเรี่องราวความฮึกเหิมไปสู่ภาคหน้า Godzilla VS Kong ได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ ยังไงเสียสำหรับแฟนๆ เรื่องนี้ก็คุ้มค่าตั๋วแน่นอนครับ แต่ถ้าไม่ใช่ก็หักคะแนนจากผมไป 2-3 คะแนนก็แล้วกันนะ
(Quote) 8.5/10