รีวิว Mission: Impossible – Fallout เดือดขั้นสุดกับพี่ทอมในวัย 56!

     อาจจะกล่าวได้ไม่ผิดนักถ้าผมจะบอกว่า Mission: Impossible – Fallout นี่แหละคือหนึ่งหนังที่ผมรอดูมากที่สุดของปี ด้วยความที่ติดตามดูมาทุกภาคทำให้ตัวผมเองมีความผูกพันธ์กับซีรีส์นี้อยู่บ้าง แม้จะห่างไกลจากคำว่าแฟนพันธุ์แท้ แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ปรอทความอยากดู MI ภาคนี้มันเยอะขึ้นกว่าทุกๆ ภาคที่ผ่านมา พอคิดไปคิดมาก็อาจเป็นเพราะว่าผมชอบภาค Rogue Nation มากก็เป็นได้ ทำให้ตั้งตารอภาคที่เสมือนเป็นภาคต่อกลายๆ อย่าง Fallout เป็นพิเศษ และหวังจะได้พบเจอกับตัวละครที่ผมชอบมากอย่างอิลช่าเป็นคำรบที่ 2 

     ไม่เหมือนกับหลายๆ ภาคก่อนหน้าที่ MI เกือบๆ จะเป็นหนังที่จบในตอน แต่ Fallout เลือกจะแหวกขนบขนทีมงาน, นักแสดง รวมถึงพลอตเรื่องต่อมาจากภาค Rogue Nation แทบทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วใช่ครับ หากคุณต้องการดู Fallout ให้ได้อรรถรสจริงๆ อย่างน้อยๆ ที่สุดคุณควรดู Rogue Nation มาก่อน

Mission: Impossible - Fallout

     แต่ในขณะที่แฟนๆ หน้าใหม่อาจต้องทำการบ้านกันเล็กน้อย แฟนๆ ที่ติดตามมาทุกภาคก็น่าจะเต็มอิ่มกับ Fallout ไม่มากก็น้อย เพราะมันเป็นการนำประเด็นเก่าๆ ยิบย่อยของซีรีส์ที่ถูกทิ้งให้ค้างตาไว้มาสานต่อร่วมกับพล็อตเรื่องหลักที่สานต่อจากภาคก่อนทันที ทำให้ภาคนี้เป็นประหนึ่งจุดสิ้นสุดและจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ ในเวลาเดียวกัน

     Tom Cruise กลับมาอีกครั้งในฐานะสัญญะของซีรีส์ ในวัย 56 ปีเรายังคงเห็นเขาเบรคลิมิตของตัวเองไปเรื่อยๆ ด้วยการเล่นจริงไร้สตั๊นในทุกๆ ฉากแอคชั่น จุดนี้ส่งให้รูปแบบการถ่ายทำต้องเปลี่ยนไป ในทิศทางที่ดิบขึ้นและเรียลขึ้น และระทึกมากขึ้น เช่นตามขับมอเตอร์ไซค์สวนเลน หรือตอนโดดเฮโลจั๊มป์บนความสูง 25,000 ฟุตจากพื้นซึ่งชวนหายใจไม่ทั่วท้องตามไปด้วย ในยุคที่ CG สามารถเนรมิตทุกๆ อย่างได้ดั่งใจ การได้เห็นอะไรแบบนี้ที่รู้สึกว่าเกินคำว่า Professional ไปไกลก็ทำให้ว้าวได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

     ดังนั้นแล้วเมื่อหนังจัดเต็มความแอคชั่น อารมณ์หนังสายลับจึงถูกทอนลงไปพอสมควร แต่บรรยากาศไม่สามารถไว้ใจใครได้ก็ยังมีอยู่ และจุดพีคช่วงกลางเรื่องก็ทำได้ถึงจนต้องแอบอุทาน “เฮ้ย!?” เบาๆ เหมือนกัน

     อย่างไรก็ดี เช่นที่พูดตั้งแต่ต้นบทความว่าสิ่งที่ผมยินดีที่สุดในการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้คือการได้เห็นตัวละคร “อิลช่า” กลับมามีบทบาทในจักรวาล MI อีกครั้ง เพราะรู้สึกเหมือนกับอีกหลายต่อหลายคนว่าตัวละครนี้ที่ Rebecca Ferguson เล่นไว้ได้มีเสน่ห์สุดๆ นั้นเปี่ยมศักยภาพเกินกว่าจะเป็นแค่นางเอกประจำภาคหรือเพื่อนร่วมทีมเฉพาะกิจเฉกเช่นที่เกิดขึ้นกับหลายๆ ตัวละคร ดังนั้นแล้วการได้เห็นตัวละครนี้กลับมาโลดแล่นเคียงคู่อีธาน ฮันท์ในภาคถัดมาจึงเป็นอะไรที่น่าพึงใจสำหรับผมเป็นที่สุด แถมผู้กำกับ Christopher McQuarrie ยังดูจะเป็นพวกเดียวกับผใอีกต่างหาก เพราะนอกจากจะนำนางกลับมาแล้ว บทของนางในภาคนี้ยังมีปลายทางที่ได้ใจกองอวยแบบผมอีกต่าง เวรี่กู้ด~

     เช่นที่บอกไปว่า Mission: Impossible – Fallout เปรียบประหนึ่งการปิดฉากและการเริ่มต้นใหม่ในพร้อมๆ กัน ซีนช่วงท้ายของเรื่องหลังผ่านพ้นความเดือดของคิวบู๊มาแล้ว คือบทสรุปอันงดงามในการหาทางลงให้กับบางตัวละครที่อาจไม่ได้จะไปต่อ ดีเยี่ยมทั้งมีนนิ่งและไดอะล็อก ไม่เศร้าจนเกินไปแถมความหมายก็กินใจ และคนดูก็สามารถยอมรับได้ถึงเหตุและผลในซีนนั้นครับ

     Mission: Impossible – Fallout ไม่ใช่แค่หนังแอคชั่นบล็อคบัสเตอร์ชั้นดี แต่มันคืองานภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมที่ดูกลมกล่อมไปเสียทุกส่วนสัด และแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าอย่างน้อยที่สุดควรหาภาค Rogue Nation มาดูเสียก่อน เพื่อจะได้เสพย์ความเดือดที่สุดของซัมเมอร์นี้ได้อย่างเต็มอรรถรสครับ

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้