“ตับอ่อนของเธอนั้นขอฉันเถอะนะ” มันอาจเป็นประโยคที่ฟังดูแล้วแปร่งๆ ไปสักหน่อย (แบบว่าไม่ว่าจะสถานการณ์แบบใดก็ไม่ควรขอตับอ่อนกันโต้งๆ น่ะนะ) โดยเฉพาะแล้วกับการมาปรากฎเป็นชื่อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่แทบจะแปลความหมายแบบเดียวกันในทุกภาษา แต่เพราะแบบนั้นมึนจึงน่าสนใจ น่าค้นหา กระทั่งเมื่อเวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมงแห่งการรับชมพาดผ่านไป และเราเข้าใจความหมายในตัวมันมากขึ้น แม้ความสละสลวยในแง่ภาษาอาจไม่เปลี่ยนแปลงไปนัก แต่กลับรู้สึกว่ามันช่วงงดงามอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ถูก
Kimi no suizo wo tabetai เป็นผลงานที่ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันซึ่งตีพิมพ์ในปี 2015 กล่าวถึงตัวพระเอกในวัยทำงานเป็นอาจารย์ที่ทำตัวหลักลอยไร้ชีวิตชีวา อยู่ไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย เพราะอดีตอันเจ็บปวด วันหนึ่งเขาได้รับหน้าที่จากผู้อำนวยการโรงเรียนให้ทำการเคลียร์ห้องสมุดเก่าของโรงเรียนให้เรียบร้อยเพราะจะทุบทำตึกใหม่ ด้วยว่าเขาเคยมีทักษะด้านบรรณารักษ์มาก่อน ครั้นเมื่อเริ่มงานความทรงจำเก่าๆ เริ่มไหลเข้ามาในหัว ความทรงจำแสนสำคัญช่วงหนึ่งของชีวิตที่เขาเคยสูญเสียมันไป ความทรงจำในสมัยที่เคยมีเด็กผู้หญิงที่ชื่อ Sakura Yamauchi อยู่เคียงข้างกาย
ถ้าได้อ่านพลอตคร่าวๆ หรือดูเทรลเลอร์ก็น่าจะพอคาดเดากันได้ครับว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร หากเก่งหน่อยก็เดาได้ยันตอนจบเลยทีเดียวครับ เพราะเอาเข้าจริงเนื้อเรื่องในภาพรวมค่อนข้างจะเบสิคมากๆ ไม่ได้มีจุดที่คาดไม่ถึงแต่อย่างใด แม้แต่ไคลแมกซ์ก็ให้ความรู้สึกแค่เพียง “อ๋อ เป็นแบบนี้เอง” เท่านั้น เพียงแต่อาจจะเพราะด้วยความธรรมดาๆ นี่แหละทำให้เราทัชกับมันได้ง่าย ยิ่งมาบวกกับงานกำกับระดับโคตรเยี่ยมของ Sho Tsukikawa ทำให้ Kimi no suizo wo tabetai กลายเป็น 1 ในภาพยนตร์ที่ละมุนและกลมกล่อมที่สุดในปีนี้เลยทีเดียว
คือเขียนมาถึงตรงนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่รีวิวได้ยากจัง มันธรรมดามากๆ แต่เรากลับรู้สึกพิเศษ มันไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่พอทบทวนดีๆ แล้วกลับนึกจุดที่ต้องติไม่ออก เป็นมนต์สเน่ห์แบบแปลกๆ ที่ไม่ค่อยเจอะเจอในภาพยนตร์เรื่องไหน แบบว่าละมุนละไมไปเสียหมด ขนาดจะบอกว่าเป็นภาพยนตร์แนวไหนก็ยังทำได้ไม่เต็มปาก มันไม่ได้ Feel good ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใกล้เคียงคำว่าหม่นหมองแต่อย่างใด จะว่าเป็นภาพยนตร์รักก็อาจจะใช่ แต่การที่มันไม่มีคำว่า “รัก” หลุดออกมาจากตัวละครใดเลยก็ออกจะตะขิดตะขวงไปสักนิดที่จะเรียกมันว่าภาพยนตร์รัก แม้เราจะรู้สึกว่ามันเยี่ยมมากๆ ก็ตามที่มันทำให้เรารับรู้ว่าเป็นภาพยนตร์รักได้โดยที่ไม่มีตัวละครเอื้อนเอ่ยคำว่า “รัก” ใดๆ ออกมาเลยสักครั้ง
งานด้านภาพคือโดดเด่นมากทั้งในแง่การถ่ายทำและโลเคชั่น ขับเน้นให้เราสามารถอินและไหลไปกับเส้นเรื่องได้อย่างเต็มอารมณ์ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรื่องนี้คงต้องยกให้กับน้อง Minami Hamabe ที่สวมบทเป็น Sakura Yamauchi ได้อย่างโคตรโหด! คือคำว่าโหดในแง่นี้คือการที่น้องเล่นเป็นตัวละคร Sakura ได้คาริสม่ามากๆ สเน่ห์พวยพุ่ง คววามน่ารักล้นระเบิด แล้วคือนางเป็นตัวละครที่มักจะยิ้มอยู่ตลอดเรื่อง ซึ่ง… เวลาน้องเขายิ้มแต่ละทีนี่บอกเลยหนุ่มๆ มีระทวยกันถ้วนหน้าแน่นอนครับ
และไม่ใช่แค่เล่นดีแต่คาแรคเตอร์ของ Sakura ภายในเรื่องยังโดนใจผมอีกต่างหาก คือเป็นสาวขี้เล่น ซื่อตรงกับตัวเอง พยายามมองโลกในแง่ดี ทั้งๆ ที่เธอคนผู้ป่วยโรคตับอ่อนซึ่งกำลังจะตาย ทว่ากลับเปล่งประกายเหลือเกิน นั่นเพราะแก่นของเรื่องจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและการใช้ชีวิต และคนที่กำลังจะตายก็มักจะเห็นความสำคัญของการมีชีวิตมากที่สุดนั่นเอง
ตัวภาพยนตร์จึงเลือกเล่าผ่านมุมมองพระเอกซึ่งเราจะได้เห็นความสดใสและพลังงานการใช้ชีวิตอันล้นเหลือของตัว Sakura เสียเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะพาไปดูในมุมมองของตัว Sakura เองอีกชั่วครู่หนึ่ง เพื่อให้เห็นอีกมุมว่าเธอต้องพยายามเพียงใดเพื่อจะมีชีวิตต่อไป เรื่องราวเหล่านี้ถูกร้อยเรียงออกมาโดยมีจังหวะจะโคนที่ลงตัว ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป ช่วงกุ๊กกิ๊กดูไปก็ยิ้มไป พอถึงช่วงเศร้าก็มีนํ้าตาไหลนํ้าตาซึมกัน แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เศร้าขนาดถึงกับต้องฟูมฟาย เพราะผมรู้สึกว่าตัวภาพยนตร์พยายามคุมโทนอารมณ์ไม่ให้หม่นจนเกินไป จึงเลือกจะไม่ขยี้ซีนเศร้าให้กระจุยกระจายเละเทะกว่านี้ เพราะท้ายที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการส่งต่อกำลังใจให้กับผู้ชมเพื่อมีพลังในการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าทึ่สุดต่อไป
หลังรับชมจบผมรู้สึกเหมือนได้กระเดือกกาแฟมอคค่าชั้นดีผ่านคอหอย คือมันมีความเฝื่อนขมของกาแฟ แต่ก็หวานช็อคโกแลตไปพร้อมๆ กัน เป็นรสกลมกล่อมละมุนละไมที่ผมชอบที่สุด ซึ่งก็อย่างที่บอกครับในแง่ภาพยนตร์ เรื่องนี้อาจไม่ถึงกับเพอร์เฟค แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันสมบูรณ์ในตัวเองมากๆ ในทางที่เลือกจะเป็น และผมหาจุดติไม่เจอจริงๆ ครับ
ป.ล. ซับไทยแปลเข้าถึงอารมณ์ความเป็นเด็กมัธยมมาก ต้องขอชื่นชมทีม “ซับจริงจัง” ด้วยครับ งานดีจริงๆ
ตัวภาพยนตร์เข้าฉายจริง 23 พฤศจิกายนนี้ครับ