รีวิว – “Ajin: Demi-Human อาจิน ฅนไม่รู้จักตาย” แม้อาจจะยังไปไม่สุดแต่ก็มีดีเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

     Ajin: Demi-Human หรือในชื่อไทย อาจิน ฅนไม่รู้จักตาย อีกหนึ่งภาพยนตร์ Live-Action จากมังงะชื่อดังซึ่งหลั่งไหลเข้ามาฉายโรงในไทยกันมากมาย โดยเรี่องนี้เป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่แม้จะไม่ถึงกับสมบูรณ์นัก ทว่าก็มีความน่าสนใจในหลายๆ ส่วนครับ

     อย่างแรกที่ต้องบอกคือผมเคยอ่านมังงะเรื่อง Ajin เมื่อนานมาแล้ว แบบว่านานมากๆ จนแทบลืมไปแล้วว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร กระนั้นก็ยังพอนึกออกว่าตัวเอกเป็นเด็กวัยรุ่น 2 คนที่มีพลังของอะจิน จึงดูเหมือนว่าตัวภาพยนตร์ Live-Action ไม่ได้นำเนื้อเรื่องมาจากต้นฉบับทั้งหมด เนื่องจากตัวเอกในฉบับภาพนตร์แม้จะมีชื่อว่า “นากาอิ เคย์” เหมือนกัน ทว่าเขามีอายุ 26 ปี และหาใช่เด็กมัธยมปลายอย่างในมังงะไม่ ทำให้ผมรู้สึกว่าใครที่ไม่เคยอ่านมังงะมาก่อนก็น่าจะไหลไปกับเรื่องได้เหมือนๆ กัน

     Ajin เล่าถึง นากาอิ เคย์ ชายวัย 26 ผู้ถูกรถบรรทุกชนแต่ไม่ยักกะตาย (และไม่ได้ไปต่างโลก…) เพราะเขามีพลังของอาจิน แต่เพราะแบบนั้นเขาจึงถูกรัฐบาลญี่ปุ่นจับตัวไปทดลอง “สังหาร” อยู่ 2-3 วัน ก่อนที่ “ซาโต้” อาจินคนแรกจะบุกมาช่วย พร้อมยื่นข้อเสนอให้มาร่วมมือกัน แต่ด้วยความคิดที่สวนทางทั้งซาโต้และเคย์จึงต้องเป็นศัตรูกันในท้ายที่สุดแม้จะมีพลังคล้ายๆ กันก็ตาม

     ปกติแล้วเวลาผมดูภาพยนตร์ฝั่งญี่ปุ่นผมจะรู้สึกว่ามันมักจะมีจริตบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถอินกับมันจนสุดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาพยนตร์แอคชั่น ซึ่ง Ajin ก็ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่เช่นกัน สิ่งที่สังเกตุได้ก็คือการพยายามคงความเป็นคาแรคเตอร์ตัวละครการ์ตูนญี่ปุ่นจ๋า ที่พออยู่ในมังงะแล้วรู้สึกว่าเจ๋งมากเท่มาก แต่พอมันมาอยู่ในฟอร์แมตของภาพยนตร์แล้วกลับรู้สึกว่าส่วนที่เคยคิดว่าเจ๋งเนี่ยดันทำให้จังหวะจะโคนต่างๆ มันเสียไปสักหน่อย โดยเฉพาะตัวของซาโต้เองที่วิธีการพูดการจาสร้างความหงุดหงิดไม่น้อยสำหรับตัวผมเอง นอกจากนี้ด้วยเวลาที่จำกัดจำเขี่ยทำให้ผู้ชมไม่อาจจะอินกับความสัมพันธ์ของตัวละครได้มากนัก ซึ่งเป็นปัญหาที่มักจะพบได้ทั่วไปในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงเนื้อเรื่องมาจากสื่ออื่นๆ แต่ถึงจะไม่อินเราก็ยังสามารถเข้าใจได้อยู่นะครับว่าทำไมตัวละครจึงรู้สึกแบบนั้น ง่ายๆ คือเข้าใจ แต่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยขนาดนั้นนั่นแหละ

     อย่างไรก็ดี สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ยอดเยี่ยมชนิดที่ค่อนข้างเหนือคาดมากๆ ก็คือคิวบู๊ครับ โดยเฉพาะตัวของซาโต้ซึ่ง Bad Ass มาก ดูเป็นคนอันตรายที่แท้ทรู คือมันทั้งเท่, แช็งแรง เป็นแทคติคอลมากกว่าแฟนตาซี ถึงพวกนี้จะเรียก “ผีดำ” ร่างสแตนด์อาจินออกมาช่วยสู้ได้ แต่การที่ตัวภาพยนตร์ค่อนข้างเน้นบทบู๊แบบถึงลูกถึงคนมากกว่าจะใช้ประโยชน์จาก CG ช่วย ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังมันเจ๋งขึ้นมากจริงๆ ครับ

     กระนั้นมันก็ออกจะย้อนแย้งนิดหน่อย เพราะผมเพิ่งบอกไปว่าสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุดของหนังก็คือคิวบู๊ แต่ก็เป็นซีนต่อสู้นี่แหละที่กลายเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนที่ทำให้ผมเหนื่อยในการรับชมเช่นกัน นั่นเพราะลักษณะพิเศษของผู้เป็นอาจินคือฆ่าไม่ตาย และเมื่อตายจะรีเซ็ทตัวเองใหม่ ดั้งนั้่นเราจึงได้เห็นฉากฆ่าตัวตายของแต่ละตัวละครเป็นว่าเล่น เพื่อรีเซ็ตตัวเองมาสู้ต่อ คือพอจะแพ้พี่ก็รีเซ็ทตัวเองวนไป แล้วพอซีนต่อสู้มันยาวก็จะกลายเป็นเหนื่อย คือสู้ยังไงก็ไม่ตายกันซะที มันทำให้ซีนต่อสู้เกือบๆ จะกลายเป็นอะไรที่หาเหตุผลไม่ได้ คือเข้าใจแหละว่าอยากอัดให้ปางตายจะได้ใช้ยาสลบ (เป็นทางเดียวที่ใช้หยุดอาจิน) แต่ก็ยังแอบรู้สึกว่าถ้าซีนสู้มันกระชับลงแล้วไปเน้นส่วนอื่นให้ผู้ชมสามารถอินกับเส้นเรื่องได้มากชึ้น มันก็อาจจะกลายเป็นภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ขึ้นมาก

     ในส่วนของตัวละครนอกจากความอันตรายแบบจริงจังของซาโต้แล้ว ผมรู้สึกชอบคาแรคเตอร์ของพระเอกเป็นพิเศษ คือพื้นฐานเป็นคนดีแต่มีความกวนส้นอยู่ในตัว ทั้งยังยอมจะทำอะไรที่สกปรกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการหากมันจำเป็นโดยไม่อิดออด แบบว่าถึงความแกร่งจะเทียบซาโต้ไม่ได้ แต่ความน่าสนใจและสเน่ห์ตัวละครก็ไม่หนีกันเท่าไหร่ครับ ค่อนข้างประทับใจทีเดียว แม้ตัวเรื่องจะไม่อธิบายความเก่งกาจของพี่แกที่อยู่ดีๆ ก็มาแบบงงๆ ก็เถอะ

     โดยสรุปแล้ว Ajin เป็นภาพยนตร์ Live-Action ที่มีความอินเตอร์อยู่ในตัว และทำได้ดีมากๆ ระดับเหนือคาดในพาร์ทของฉากแอคชั่น และแม้จะตะกุกตะกักไปบ้างในการดำเนินเรื่องแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาระดับร้ายแรงนัก เรายังคงสามารถบันเทิงกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ว่าจะเคยตามมังงะมาก่อนหรือไม่ก็ตามครับ

 

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้