***รีวิวมีสปอยล์เล็กน้อย***
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปทำข่าวงานของ Seven Knights ที่ปิดโรงพาผู้โชคดีเข้าชมภาพยนตร์เรื่อง Kingsman: The Golden Circle ซึ่งก็แน่นอนว่าผมได้ดูด้วย จึงจะมารีวิวกันให้ฟังสักหน่อยในฐานะที่ภาคแรกของมันเป็นภาพยนตร์สายลับระดับ Top ในใจผมเรื่องหนึ่งเลย
ย้อนกลับไปเล็กน้อย Kingsman: The Secret Service คือภาพยนตร์สายลับที่โดดเด่นสุดๆ แม้ในขวบปีนั้นจะมีภาพยนตร์สายลับฟอร์มยักษ์เข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกันอีกถึง 3-4 เรื่องเลย (งัดกับ 007 และ MI ในปีเดียวกันนี่ไม่ธรรมดา) มันคือผลงานที่ทำให้ Matthew Vaughn ยอมทิ้ง Kick-Ass 2 เพื่อมากำกับโดยเฉพาะ ผลคือเขาได้สร้างตัวเปิดแฟรนไชส์ภาพยนตร์สายลับทรงคุณค่าอีกหนึ่งเรื่องขึ้นมาอย่างสวยงาม ด้วยสไตล์กำกับเฉพาะตัว และธีมเรื่องล้อขนบหนังสายลับเรื่องอื่นเสียยับเยิน Kingsman: The Secret Service คือ 1 ในภาพยนตร์สุดเซอร์ไพรส์ของปีนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย จนในที่สุดภาคต่อ Kingsman: The Golden Circle ก็ถูกเข็นออกมาฉายในปีนี้
ทีนี้ด้วยความเป็นภาคต่อ ทุกภาคส่วนจึงดูเหมือนคาดหวังให้มันใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น เริ่มวางโปรเจคกันยาวจนได้ข่าวว่าแพลนกันเลยไตรภาคไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเพราะต้องวางแผนระยะยาวขนาดนั้นรึเปล่า Kingsman: The Golden Circle จึงกลายเป็นภาพยนตร์ที่แลดูราวกับ “ส่วนเชื่อมต่อ” มากกว่าจะมา “สานต่อ” ทุกสิ่งอย่างจากภาคแรก ซึ่งนั่นทำให้เราไม่สามารถสนุกกับมันได้เท่าเดิมอีกต่อไป
เดาว่าโจทย์ภาคนี้ของ Matthew Vaughn คือการสร้างตัวตนของ Statesman ขึ้นมาพร้อมๆ กับที่ต้องดึงเอาหนึ่งในจุดขายหลักของภาคก่อนอย่างตัวละคร Harry Hart ของ Colin Firth กลับขึ้นมาจากหลุม ทำให้เนื้อเรื่องของฝั่งตัวร้ายมันดูจืดๆ ลวกๆ ชอบกล เมื่อเทียบกับตัวร้ายภาคก่อนอย่าง Valentine และบอร์ดี้การ์ดสาวขาดาบของเขาที่มีทั้งสีสันแลลูกเล่นแพรวพราวในแง่คาแรคเตอร์ให้คนจดจำกันบานตะเกียง งานนี้บอกคำเดียวว่าถึงเอารุ่นใหญ่ตัวแม่อย่าง Julianne Moore มาเล่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่
และมันส่งผลต่อเส้นเรื่องโดยรวมที่รู้สึกได้ชัดครับว่าไม่ลื่นไหลเหมือนภาคแรก เพราะด้วยความที่พยายามจะทำหลายอย่างมากเกินไป เพื่อเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมกับแผนระยะไกลของแฟรนไชส์ ผนวกกับความเร่งรัดของเนื้อเรื่องและพาร์ทตัวโกงที่ชืดไปสักหน่อย จึงน่าเสียดายไม่น้อยที่ Kingsman: The Golden Circle ดรอปความสนุกและความลุ้นไปพอสมควรเลย แบบว่าถ้าภาคแรกหนังมีแนวทางชัดเจน ภาค 2 ก็ชัดเจนครับ แต่เป็นชัดเจนในความยุ่งเหยิงเสียมากกว่า
แม้กระนั้นถึงหนังจะพยายามให้นํ้าหนักสเตทส์แมนแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องกลับมาทิ้งทุ่นปิดฉากกับคิงส์แมนอยู่ดี ก็กลายเป็นว่าเรายังคงรู้จักกับสเตทส์แมนเพียงผิวเผิน ราวกับพวกเขามาแนะนำตัวมากกว่า เช่นเดียวกับบทเอเย่นต์เตกิล่าของ Channing Tatum ที่ได้โชว์อยู่ 1 ซีนถ้วนจากนั้นก็หลับยาวทั้งเรื่อง ก่อนโผล่มาทำตัวเหมือนจะเป็นคนสำคัญของภาคต่อไปในตอนท้าย ซะอย่างนั้น!
ส่วนคนเด่นที่สุดในภาคนี้คงต้องยกให้จอมขโมยซีนอย่าง Pedro Pascal ในบทของเอเย่นต์วิสกี้ ที่ช่วยให้เห็นความต่างในแง่คาแรคเตอร์ระหว่างคิงส์แมนกับสเตทส์แมนชัดขึ้น รวมถึงไฟต์ซีนที่ราวกับจะแย่งเอาความเท่ของทุกคนมาไว้ที่พี่แกคนเดียว… แต่ก็นั่นล่ะฮะท่านผู้ชม น่าเสียดาย…
และคงเพราะอยากจะเน้นสเตทส์แมนให้มากขึ้นในภาคถัดๆไปตามข่าวที่ออกมา หนังจึงเลือกที่จะปิดฉากตัวละครหน้าเก่าหลายๆ ตัวลงในหลากรูปแบบ ในระดับที่คุณอาจไม่เห็นตัวละครหน้าเก่าฟากคิงส์แมนในภาคถัดไปเสียด้วยซํ้า ซึ่งก็เวิร์คบ้างไม่เวิร์คบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่าจนรู้สึกเสียดายโมเมนท์ของหลายๆ คนในภาคแรกมากๆ
จะอย่างไรก็ดีสิ่งที่มีเหมือนเดิมคือฉากไฟต์ซีนฉบับ Matthew Vaugh อันเป็นเอกลักษณ์ที่ถึงไม่ว้าวเท่าภาคแรก แต่ก็ยังดูสนุก และความบ้าบอระดับโรงงานกาวที่ทำให้ผู้ชมยังคงมีความรู้สึกดีๆ กับหนังอยู่มาก พลางคิดว่าถ้ามีภาคหน้าก็คงดูอยู่ดี เพราะถ้าตีความจากฉากจบ ในภาคถัดไปจะเป็นไตรภาคปิดฟินาเล่ที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแฟรนไชส์แน่นอน
สำหรับผม Kingsman: The Golden Circle คือภาคที่ค่อนข้างล้มเหลวในตัวมันเอง แต่กลับทำหน้าที่ส่งต่อเรื่องราวไปภาคหน้าได้อย่างน่าสนใจ โลกของสายลับอุดม Gadget ที่ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น ตัวละครชุดใหม่ที่จะก้าวเข้ามาเทคโอเวอร์แฟรนไชส์แทนตัวเก่าๆ ที่เราเคยรัก และสุดท้ายคือ Channing Tatum ที่น่าจะได้บทสำคัญกับเขาซะที!