***บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาภาพยนตร์ 15+ ไอคิวกระฉูด***
ท่ามกลางสังคมในประเทศนี้ที่ผู้ใหญ่หลายคนชูให้ไทยเป็นเมืองพุทธ ประเด็นที่หมิ่นเหม่ไปทางเรื่องใต้สะดือก็จะดูเป็นของต้องห้ามที่มักจะถูกกีดกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงหรือแม้แต่จะได้ทำความเข้าใจกับมัน แต่ถึงกระนั้นในซอกมุมหนึ่งของบ้านเราก็ยังคงมีกลุ่มคนที่พยายามจะนำเสนอว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องไกลตัว และวัยรุ่นก็สมควรที่จะได้เรียนรู้ไปกับมันอย่างถูกวิธีได้ ซึ่ง 15+ ไอคิวกระฉูด ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของทางสหมงคลฟิล์มเลยพยายามจะเข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้
พล็อตของ 15+ ไอคิวกระฉูดจะเล่าถึง ฉลาดเลิศ (ยอร์ช ยงศิลป์) เด็กเนิร์ดสุดซื่ออายุ 15 ที่กำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศ ที่ได้รับโจทย์จากครูในชั้นเรียนว่าให้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่บ่งชี้ถึงตัวเราในอายุ 30 ปี แต่ด้วยวีรกรรมที่ฉลาดเลิศกับเพื่อนสนิทอีก 2 คนเคยทำร่วมกันแล้วล้มเหลวไม่เป็นท่า จึงคิดแผนเกรียนๆ ด้วยการหาทางไปขโมยแบบแปลนจากเด็กสาวเรียนดีระดับท็อปของโรงเรียนอย่าง สุดารัตน์ (พลอย ศรนรินทร์) โดยขณะที่เนื้อเรื่องกำลังดำเนินไป ก็จะมีมุกทะลึ่งตึงตังจากแก๊งฉลาดเลิศปล่อยออกมาเป็นระยะ ซึ่งบางมุกก็ดูโอเคในบริบทของมัน ทว่ามุกส่วนใหญ่จะถูกใส่มาใน Timing ที่ไม่ดีนัก เลยทำให้ขัดกับอารมณ์ของหนัง ณ ช่วงเวลานั้นๆ อยู่บ่อยครั้ง
ช่วงต้นของเรื่องที่เราได้รู้จักกับตัวละครต่างๆ เราจะได้เห็นสื่อสัญลักษณ์หลายอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและทัศนคติที่ฝังรากลึกมานานจนมีดราม่าบนโลกโซเชียลอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นของสุดารัตน์ในฐานะนักเรียนดีเด่น ที่บรรดาครูได้ยกให้เธอเป็นไอดอลในด้านการแต่งกายถูกระเบียบและมันสมองด้านวิชาการที่เป็นเลิศ อีกทั้งสุดารัตน์เองยังมีการวางตัวไม่สนใจในเรื่องเพศอย่างออกนอกหน้า ทั้งหมดนี้จึงทำให้เธอดูเป็นเด็กในอุดมคติที่ผู้ใหญ่จากเจเนอเรชั่นก่อนๆ ตีกรอบให้กัน แต่ดูเหมือนทางทีมงานจะนำเสนอไว้เพียงผิวเผิน ทำให้เราไม่สามารถลงลึกและทราบสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อได้เลยว่านอกจากหน้าตาของปัญหาที่กางมาให้ดูแล้ว เขามีมุมมองอย่างไรกับมันบ้าง
พอดำเนินเรื่องไปเกินครึ่งทาง ตัวหนังเลือกที่จะเปลี่ยนอารมณ์จากหนังอัดมุก 18+ รัวๆ มาเป็นหนังให้แง่คิดเรื่องเพศศึกษาและการท้องในวัยเรียน เรียกได้ว่าเปลี่ยนโทนกันแบบกะทันหันเลย โดยที่ไม่มีการปูพื้นตัวละครให้แน่นกว่านี้จนให้คนดูซึมซับกับแนวคิดและปูมหลังของแต่ละตัวละครได้เสียก่อน เพราะตลอดช่วงครึ่งแรกของเรื่อง หนังมีแต่นำเสนอว่าชีวิตก๊วนของฉลาดเลิศมีแต่ความอยากรู้ในเรื่องเพศศึกษาด้วยวิถีเกรียนๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้น กระทั่งพอเข้าสู่ครึ่งหลัง ฉลาดเลิศก็เกิดมีความคิดเข้ารูปเข้ารอยขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่มีฉากที่ให้เราเห็นเลยว่าฉลาดเลิศได้มีพัฒนาการความคิดมาได้อย่างไร
เมื่อเริ่มต้นได้ไม่ดี ผลกระทบเลยตามมาเป็นลูกโซ่ นอกจากการดำเนินเรื่องจะไม่ดีด้วยแล้ว ยังส่งผลมาถึงฉากจบ ที่เหมือนผู้กำกับพยายามจะเลือกให้หนังลงเอยใน Way ที่ไม่ขัดกับศีลธรรมกับวิถีคิด “แบบไทยๆ” ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเพื่อลดแรงเสียดทานที่มีต่อหนังหรือเปล่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากปัญหาที่พอกพูนมาตั้งแต่การแทรกมุกแบบพร่ำเพรื่อ ไล่มาจนถึงการเปลี่ยนแกนของเรื่องอย่างหยาบๆ จึงทำให้ทรงของหนังดูไม่ปะติดปะต่อกันเลย
ปัญหาใหญ่ที่พบเจอหลักๆ ในหนังเรื่องนี้จะมีอยู่ 2 เรื่องหลักๆ อย่างแรกคือแอ็กติ้งของนักแสดงวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่แข็งมาก จะมีเพียง พลอย ศรนรินทร์ ที่เล่นเป็นสุดารัตน์อยู่คนเดียวที่พอจะให้ผ่านได้ และด้วยความที่การแสดงของแต่ละคนทำได้ไม่ดีนัก เลยทำให้ดูแล้วรู้สึกอินไปกับตัวละครไม่ได้ และเชื่อได้ยากว่าตัวละครคนนั้นคนนี้จะมีพัฒนาการทางความคิดและอารมณ์ไปตามการดำเนินเรื่องได้จริง
ปกติแล้วโปรดักชั่นของภาพยนตร์ที่คุณภาพดีๆ มักจะให้ความสำคัญกับการละลายพฤติกรรมในหมู่นักแสดงด้วยกัน ตลอดจนศึกษาตัวละครที่เล่นให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะตีบทตัวละครนั้นๆ ได้แตก แต่เมื่อประเมินจากภาพรวมของหนังที่ออกมาเป็นเช่นนี้แล้ว เลยอดคิดไม่ได้ว่าการสร้างบทให้กับตัวละครก็น่าจะมีปัญหาด้วยเช่นกัน พอตัวละครที่เขียนมาดูไม่มีมิติ มาเจอกับแอ็กติ้งของนักแสดงที่แข็ง ทุกอย่างเลยกู่ไม่กลับ
ทั้งหมดที่กล่าวมา หนังก็ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายจนหาความดีไม่เจอครับ เพียงแต่องค์ประกอบหลายๆ อย่างมันทำให้รู้สึกได้ว่าทีมงานยัง “ไม่พร้อม” ที่จะนำเสนอเนื้อหาแนวนี้ทั้งๆ ที่ยังมีปัญหาภายในขั้นตอนโปรดักชั่นเยอะขนาดนี้ (แอ็กติ้ง, การเขียนบท ฯลฯ) ในขณะที่เมืองไทยเราก็รอที่จะมีหนังสะท้อนสังคมดีๆ อีกเรื่องเข้ามาให้ดูเสียที นอกเหนือไปจากหนังฟีลกู้ดหรือหนังผีตามสูตรในท้องตลาด (แม้ว่าหนังสะท้อนสังคมจะขายยากก็เหอะ)
เสียแค่ว่า 15+ ไอคิวกระฉูด ยังไม่อาจตีโจทย์นี้แตกได้นั่นเอง…
จุดเด่น
– แอ็กติ้งของนางเอก (พลอย ศรนรินทร์) แทบจะแบกหนังไว้ทั้งเรื่องแม้จะอายุยังน้อย อนาคตด้านการแสดงของเธอน่าจะไปได้อีกไกล
จุดด้อย
– มุกที่มีเล่นกันตลอดทั้งเรื่อง ส่วนใหญ่จะแป้กหนัก และพาลทำให้หลายๆ จังหวะของหนังสะดุดอย่างไม่ควรจะเป็น
– หนังเลือกที่จะเปลี่ยนแกนโดยไม่ดูจังหวะจะโคน แถมพอเปลี่ยนแกนแล้วก็ไม่สามารถทำให้นำมาขยี้ให้สุดได้
– ใช้ตัวละครค่อนข้างเปลือง โดยเฉพาะบางคนเหมือนถูกใส่มาเพื่อให้รองรับกับมุกเท่านั้น ไม่ช่วยเพิ่มมิติให้กับพล็อตได้มากกว่านี้
– การแสดงของนักแสดงส่วนใหญ่แข็งมาก ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครและพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่เกิดความอินหรือคล้อยตามกับการกระทำหรือการตัดสินใจของตัวละครนั้นๆ ได้
———————————-
คะแนน 4 / 10