มีรายงานศึกษาใหม่ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับส่วนแบ่งตลาดของหน่วยประมวลผลกราฟิก หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่าการ์ดจอ (GPU) ซึ่งปัจจุบันเป็นของจำเป็นของเหล่าเกมเมอร์บน PC ไปแล้ว โดยเป็นข่าวดีของค่ายเขียวอย่าง NVIDIA และข่าวร้ายของค่ายแดง AMD ทว่าคนสุดท้ายที่รับกรรมอาจจะเป็นผู้เล่นเกมก็ได้ และอาจเป็นวิกฤติที่ไม่มีทางแก้ได้เสียด้วย
โดยข้อมูลจาก Jon Peddie Research (JPR) ชี้ว่ามี GPU ของ NVIDIA นั้นยังคงมียอดขายแรงไม่มีตกในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2024 ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 90% ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 22 ปีและสูงเป็นประวัติการณ์ และเป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเสียด้วย
ในทางกลับกัน AMD นั้นกลับไม่สามารถจูงใจให้คนหันมาซื้อได้ ขณะที่ Intel เองก็ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ยังไม่เริ่มส่งของหรือขายอย่างจริงจัง อีกทั้งข่าวลือของการ์ดจอรุ่นใหม่ซีรีส์ RX 8000 และ RTX 50 ก็อาจบีบให้ Intel ตกที่นั่งลำบากได้ นอกจากนี้ยังมีข่าวหลุดเกี่ยวกับการ์ดจอรุ่นใหม่ RTX 5080 และ RTX 5090 ที่อาจทำให้ AMD แข่งขันไม่ไหวจนถึงขั้นเข้ายุคเสื่อมถอยเลยอีกด้วย
ปัจจุบัน AMD ดูเหมือนจะพยายามกลับมาตั้งตัวใหม่และเน้นไปที่การ์ดจอสำหรับตลาดผู้ใช้ระดับปานกลางค่อนไปทางสูงแทน เพราะหากแนวโน้มในปี 2025 ส่วนแบ่งตลาดยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็อาจต้องเลิกทำไปเลยเพราะไม่เหลือที่ให้ยืนแล้ว
ตั้งแต่ที่เริ่มซื้อบริษัทการ์ดจอ ATI ซึ่งเป็นคู่ปรับของ NVIDIA มาอยู่ในเครือ AMD ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์นั้นดีขึ้นเลย กลับเสียส่วนแบ่งตลาดเรื่อย ๆ มาตลอด 20 ปี และรายงานล่าสุดของ JPR ยังชี้ด้วยว่าเสียไปอีก 2% ทำให้เหลือส่วนแบ่งตลาดเพียงแค่ 10% เท่านั้น
ในทางกลับกัน NVIDIA ซึ่งมีส่วนแบ่ง 90% นั้นก็กลายเป็นเจ้าตลาดในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนและไร้ข้อกังขา ดังนั้นหาก AMD อยากจะแข่งขันและแย่งส่วนแบ่งตลาดกลับมาให้ได้ด้วยการ์ดจอซีรีส์ RX 8000 ก็คงต้องตอบโต้อย่างแข็งขันมากขึ้นแบบเดียวกับ Intel ที่สร้างการ์ดจอ Battlemage ออกมาแข่งขัน
อย่างไรก็ดีตลาดการ์ดจอโดยรวมในไตรมาสก่อนนั้นดูเหมือนจะซบเซาลงด้วย เพราะแม้จะมียอดขายรวมประมาณ 8.1 ล้านชุด แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กลับลดลงถึง 7.9% ซึ่งเป็นไปได้ว่าเพราะผู้เล่นส่วนใหญ่กำลังรอให้ค่ายใดค่ายหนึ่งเปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ก่อนแล้วค่อยพิจารณาซื้อนั่นเอง ซึ่งปกติแล้วเป็นไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ เพราะเป็นช่วงก่อนเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปีที่จะมีการลดราคาสินค้ากัน
ทั้งนี้ JPR เชื่อว่าหากว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ผ่านนโยบายตั้งกำแพงภาษีสินค้าต่าง ๆ ทั่วโลกจริง ก็อาจเป็นแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกอาจย่ำแย่ลงทำให้ไม่มีการขึ้นเงินเดือนพนักงาน และมีการพยากรณ์ว่ายอดขายการ์ดจอจะตกต่ำลงอีกในช่วง 2 ปีข้างหน้าด้วย
งานนี้ทั้ง Intel และ AMD ก็คงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อที่จะเอาตัวรอด ขณะที่ NVIDIA ซึ่งปัจจุบันแทบจะผูกขาดตลาดไปแล้วก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แทบจะเป็นเสือนอนกินได้ แต่สำหรับเกมเมอร์ระดับไฮเอนด์แล้วก็แปลว่าอาจต้องเจอกับการ์ดจอรุ่นใหม่ ๆ ที่กั๊กสเปคแต่ตั้งราคาสูงลิ่ว และเกมเมอร์ทั่วไปก็คงต้องทนกับการ์ดจอรุ่นกลางแต่ตั้งราคาแพงจัดต่อไปในอนาคตอันใกล้ เว้นแต่ว่าคู่แข่งจะมาแรงจริง ๆ จนทำให้เกิดการแข่งขันอย่างจริงจังจนราคาลดลงมาได้
แปลและเรียบเรียงจาก
Tech4Gamers
ติดตามเทรนอุปกรณ์เกมมิ่งอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ Online Station