เป็นว่าเป็นเรื่องปกติเลยก็ว่าที่เราจะเห็นเหล่าเด็กวัยรุ่นทั่วไปมักจะสร้างศัพท์แสลงมาใช้กันเรื่อยๆ ทำให้พวกผู้ใหญ่ไม่เข้าใจว่าคุยอะไรกันอยู่ แน่นอนว่าที่ญี่ปุ่นก็มีเช่นกัน โดยทีศัพท์แสลงของเขานั้นออกจะยากที่จะแปลความออกมาให้เข้าใจโดยทั่วกัน หลักการสร้างศัพท์แสลงของญี่ปุ่นนั้นมักจะเป็นการย่อคำหรือประโยคให้สั้นลงมาเพราะต้องการความรวดเร็วในการแชทคุยกัน และนี่เป็นตัวอย่าศัพท์แสลงที่สาวๆ ม.ปลายในญี่ปุ่นนิยมใช้กัน
1. Ri/Ryo: Ryoukai
Ryoukai แปลว่า “เข้าใจแล้ว” ถึงคำจริงๆดูจะไม่ยาวนักเพราะมีแค่ 2 ตัวอักษรแต่คนก็ชอบย่อเหลือแค่ Ryou กันอยู่ดี แถมยังมีบางคนที่คิดว่ามันยาวไปจนย่อเหลือแค่ Ri อีกด้วย!?
2. Ichikita: Ichiji kitaku
คำๆนี้หมายถึง “ฉันขอกลับไปที่บ้านก่อนนะ” ประโยคนี้มีประโยชน์มากสำหรับเด็กนักเรียนที่จะไปเทียวกันหลังเลิกเรียนแต่มีของหนักเกินไปในกระเป๋าแถมยังอยู่ในเครื่องแบบ คุณก็แค่ส่งข้อความไปหาเพื่อนว่า Ichikita เพื่อนๆก็จะรับรู้ทันทีว่าคุณจะกลับมาหลังจากแวะกลับไปทีบ้านก่อนน่ะนะ
3. Enka
คำๆนี้ไม่ใช่ Enka ที่หมายถึงประเภทเพลงอย่างนึงของญี่ปุ่นแต่อย่างใดถึงแม้จะใช้คำเดียกันเพราะสำหรับสาวๆม.ปลายญี่ปุ่นนั้นหมายถึงการเจอใครซักคน ริเริ่มเดิมที่เป็นศัพท์ที่ใช้กันในเกมออนไลน์แต่ตอนนี้ได้ถูกเหล่าสาวม.ปลายยึดมาใช้ซะแล้ว โดยพวกเธอมักจะใช้คำนี้เวลาไปรู้จักกับใครโดยบังเอิญ
4. Sutabaku/Sutaren: Sutampu bakugeki/Sutampu renpatsu
Sutabaku เป็นคำย่อสั้นๆที่หมายถึงการกระหน่ำส่งสติ๊กเกอร์ไลน์มาไม่ยั้งนั่นเอง โดยการส่งสติ๊กเกอร์รัวๆหรือ Sutabaku นี้มักจะทำเวลาที่คนที่เราคุยด้วยไม่ยอมตอบซักทีหรือเวลาที่ต้องการจะปลุกเพื่อนของคุณให้ตื่นเวลามีนัดสำคัญๆ
5. Burokkori
คำๆนี้ส่วนใหญ่จะหมายถึงเจ้าผักบล็อคโคลีแต่ถ้ามีคนใช้ในแชทล่ะก็ Burokkori จะหมายถึงการบล็อกใครซักคนในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค
6.การบ่งบอกระดับความโกรธ
ว่ากันว่ามันมีมากกว่า 10 คำด้วยกันเวลาที่จะแสดงให้เห็นว่าเราโกรธระดับไหน และนีคือตัวอย่าง 6 คำเบสิกทีสาวๆชอบใช้กัน
Oko: ย่อมาจาก okori ซึ่งแปลว่า โกรธ
Geki-oko: Geki แปลว่า อย่างมาก ดังนั้นคำนี้หมายถึง โกรธสุดๆไปเลย
Geki-oko punpun maru: ประโยคนี้ไม่มีความหมายเท่าไหร่
Muka chakka faiya: แปลได้คร่าวๆว่า โกรธจนไฟลุกเลย
Kamu chakka inferuno: แปลได้คร่าวๆว่า โกรธจนไหม้ไฟนรกเลย
Geki oko sutikku fainaritii punpun doriimu: แปลได้คร่าวๆว่า โกรธสุดๆจนขีดสุดของความฝันเลย
ซึ่งข้อความข้างบนที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเอาจริงๆก็ยังไม่มีใครเข้าใจความหมายของมันกันซักเท่าไหร่หรอก(ฮา)
7. Ari yori no ari
เวลาคุณวางแผนจะทำอะไรหรือไปเทียวซักที่กับกลุ่มเพื่อนก็มักจะมีปัญหาเรื่องจำนวนคนอยู่ร่ำไป เพราะบางคนก็ไม่แน่ใจว่าไปได้รึเปล่าแต่เราก็อยากรู้จำนวนที่แน่นอนเราก็มีคำที่จะช่วยให้คนอื่นๆรู้สถานะของเราว่าจะไปหรือไม่ไปตามคำข้างล่างนี้
Ari yori no ari: ไปแน่นอน
Nashi yori no ari: ไปแต่ก็อาจจะไม่ไป
Ari yori no nashi: ไม่ไปแต่ก็อาจจะไป
Nashi yori no nashi: ไม่ไป
8. KS: Kidoku suruu
คำนี้เป็นคำที่น่ากลัวสำหรับใครหลายๆคนเพราะมันหมายถึงเราโดนอ่านแล้วไม่ตอบแชทนั่นเอง
9. Wanchan aru / Wanchan nai
โดยคำว่า Wanchan มาจากคำว่า “โอกาสเดียว” และเดิมที่นั้นเป็นคำที่ใช้เวลาเล่นไพ่นกกระจอกแต่ตอนนี้ก็กลายมาเป็นอีกคำที่ใช้ในการสนทนากันโดยมีความหมายว่า “เป็นไปได้” , “โอกาสในชีวิต” หรือ ” ขอโอกาสให้ฉันอีกครั้ง” ส่วน aru กับ nai นั้นแปลว่า “มี” กับ “ไม่มี” นั่นเอง
10. Furorida: furo ni hairu kara ridatsu suru
ประโยคนี้หมายถึง “ฉันกำลังจะไปอาบน้ำก็เลยตอบข้อความไม่ได้ซักพัก” ถึงจะเป็นคำที่ดูจะยากต่อการใช้งานเพราะดันไปตรงกับคำที่หมายถึงรัฐ Florida ในอเมริกาแต่ถ้ามีใครส่งคำนี้มาในกลุ่มแชทที่กำลังเม้ามอยกันมันส์สุดๆก็แสดงว่าคนๆนั้นจะต้องไปอาบน้ำซะแล้ว
ที่มา tokyogirlsupdate รูปจาก pakutaso