รีวิวภาพยนตร์อนิเมะ Kimetsu no Yaiba Mugen Ressha-hen
ภาพยนตร์อนิเมะ Kimetsu no Yaiba Mugen Ressha-hen หรือ ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่: ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ ที่หลายคนรอคอย ล่าสุดก็ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2020 ที่ผ่านมา หลังจากฉายไปได้เพียง 3 วันก็ทำรายได้รวมไปถึง 4.6 พันล้านเยนหรือประมาณ 1.3 พันล้านบาทเลยทีเดียว!
และวันนี้ คุณ Tetsuya (นามสมมติ) อดีตโปรดิวเซอร์อนิเมะและผู้เขียนบทให้กับ VTuber ชื่อดังที่เคยทำงานให้กับบริษัทเกี่ยวกับ Pop Culture ญี่ปุ่นในไทย ก็ได้มีการไปชมภาพยนตร์อนิเมะ Kimetsu no Yaiba Mugen Ressha-hen และฝากคอมเมนต์กับรีวิวมาให้ชาว Online Station ได้อ่านกันด้วย
สำหรับโรงภาพยนตร์ที่ คุณ Tetsuya ไปชมเป็นโรงภาพยนตร์ Grand Cinema Sunshine Ikebukuro ที่มีจอ IMAX ขนาดฟูลไซส์เพียง 2 แห่งในญี่ปุ่น โดยขนาดจอจะไม่ใช่ 16:9 แต่เป็นจอที่ใกล้เคียงกับ 4:3 ถ้าเทียบกับที่ไทยแล้วก็คือขนาด 70mm IMAX แบบเดียวกับที่สยามพาราก้อน ซึ่งที่ญี่ปุ่นมีแค่ที่ Nagoya กับ Ikebukuro!
สนุกไร้ที่ติ! นี่คือเหตุผล!
เนื้อเรื่องหลักเป็นบท Mugen Ressha หรือรถไฟสู่นิรันดร์ที่ต่อเนื่องจากฉบับอนิเมะ ซึ่งเนื้อเรื่องจะเหมือนกับภาพยนตร์ Train to Busan ที่ใช้ธีมเรื่องแบบ “ห้องปิดตายที่เคลื่อนที่” ที่มีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะว่า “การอยู่ในสถานที่เฉพาะ การใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ทีหัวขบวน และต้องไปถึงที่หมายในเวลาจำกัด” เป็นโครงสร้างเนื้อเรื่องทางเดียวที่ทำให้เราเข้าใจกฎของเกมได้ง่ายสุด ๆ และการที่มันเป็นห้องปิดตาย เลยทำให้เนื้อเรื่องสามารถดำเนินไปพร้อมกับสถานการณ์ยิบย่อยได้ บอกเลยว่าสุดยอด! การเลือกบทนี้เป็นฉบับภาพยนตร์นับว่ามีเซนส์การเลือกที่ดีมาก! ดังนั้นมันจึงต้องสนุกแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย!
นอกจากนี้บทเนื้อเรื่องสั้นที่มีการโฟกัสตัวละครที่ปรากฏตัวครั้งแรกเป็นอะไรที่วิเศษมาก เป็นเนื้อเรื่องสองโครงสร้างที่คนเคยดูอนิเมะมาก่อนจะมีการชมในมุมมองของ Kamado Tanjiro และคนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็สามารถชมเนื้อเรื่องในมุมมองของ Rengoku Kyojuro ผู้เป็นเสาหลักเพลิงได้ คนที่ยังไม่ได้ดูอนิเมะก็สามารถเริ่มดูจากภาคนี้ได้เช่นกัน! ผมอยากให้ที่ไทยฉายเร็ว ๆ จัง!
ความสุดยอดของต้นฉบับ (มีสปอยล์)
เนื้อเรื่องของ Mugen Ressha ในครั้งนี้จะเป็นเรื่องราวของ Rengoku เสาหลักเพลิงที่ปรากฎตัวออกมาและกลับไป คนที่เพิ่งเคยดูครั้งแรกก็ดูได้ง่าย และความสุดยอดของ “ดาบพิฆาตอสูร” ที่ผมคิด ก็คือการที่ตัวละครมากเสน่ห์ปรากฎเพิ่งตัวครั้งแรกไม่กี่สิบนาทีและตายจากไป เซนส์ความรวดเร็วของเรื่องนี้คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ดาบพิฆาตอสูรเป็นสื่อบันเทิงที่ชนะเลิศในปี 2020 ถ้าเป็นการ์ตูนเรื่องเก่า ๆ ล่ะก็กว่าจะตายต้องใช้เวลาถึง 5 เล่มเลยทีเดียว ผู้เขียนคงดีใจน่าดูที่ฉบับรวมเล่มขายดี
อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 ที่ TikTok หรือแพลตฟอร์มเกี่ยวกับการอัปโหลดคลิปวิดิโอสั้น ๆ กลายเป็นกระแสหลัก ทำให้เซนส์เรื่องความรวดเร็วหรือสั้น ๆ เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นมันจึงสุดยอดจริงๆ
“อารมณ์” ของปรากฎการณ์ทางสังคมในญี่ปุ่น (มีสปอยล์)
ในฉากสุดท้ายมีการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอสูรข้างขึ้น ซึ่งการที่จู่ ๆ มีตัวละครโผล่ออกมาถือว่าเหมือนกับการเกิดเหตุการณ์ที่ไร้เหตุผลของโลก ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว อุบัติเหตุทางจราจรหรืออื่น ๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น ทุกคนต่างตระหนักดีว่าการทำงาน ภัยพิบัติ และกรณี COVID-19 แบบในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไร้เหตุผล การเจอหายนะหรือสถานการณ์แย่ ๆ ไม่ใช่เรื่องอื่นสำหรับผู้ชม (ชาวญี่ปุ่น) อีกต่อไป ดังนั้นการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสอดคล้องกับจิตใจผู้คนสมัยใหม่ ทำให้การที่มีตัวละครโผล่ออกมาแบบไม่มีเหตุผล จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีคนญี่ปุ่นคนไหนสงสัยเลย
Akaza (CV. Ishida Akira) อสูรข้างขึ้นที่ปรากฏตัวในภาคนี้
จุดน่าเสียดายของภาพยนตร์เรื่องนี้
ขณะที่ผมกำลังชมภาพยนตร์ ผมรู้สึกได้ถึงโครงสร้างภาพยนตร์ที่มีความอ่อน มีความเป็นไปได้ว่าผู้ผลิตมีการสร้าง “ตามต้นฉบับแบบเป๊ะ ๆ” เพื่อเอาใจผู้ชม แต่ว่าภาพยนตร์มีความแตกต่างกับหนังสือการ์ตูนตรงที่หนังสือการ์ตูนเราสามารถกำหนดความเร็วและเวลาในการอ่านได้ แต่ภาพยนตร์มีการกำหนดเวลาโดยผู้สร้างและมีการชมภาพในขนาดที่มันใหญ่เท่ากัน เลยคิดว่ามันไม่ค่อยเข้ากับการเป็นภาพยนตร์ครั้งนี้สักเท่าไร
อีกทั้งฉากซึ้ง ๆ ที่กำลังมีเพลงประกอบบิ๊วอารมณ์ก็ดันมีการตัดแบบปุบปับไปเข้าฉากเล่นมุกตลกทันที ถึงแต่ละฉากจะทำออกมาได้ดี แต่การดันอารมณ์นั้นกลับควบคุมได้ไม่ดีเท่าไรนัก รวมถึงเพลงประกอบที่มีความน่าเป็นห่วงเล็กน้อย อย่างตอนเล่นเพลง “Tanjiro no Uta” ที่กำลังบรรเลงอยู่แล้วจู่ ๆ ก็ตัดไป ทำให้ต้องมีการเปิดถึงสองครั้ง แม้ว่าเพลงจะมีการใช้เพื่อเชื่อมโยงความหลังของ Tanjiro แต่ก็พูดยากว่ามันส่งผลต่ออารมณ์ผู้ชมจริง ๆ
มันต้องฮิตแน่นอน หวังว่ามันจะต้องฮิตถล่มทลาย!
งานภาพบอกเลยว่าสุดยอดมาก ๆ และไม่ใช่แค่งานภาพเพียงอย่างเดียว ทั้งภาพ เพลงประกอบ อารมณ์ “ทุกอย่างล้วนเป็นความสุดยอดที่ถูกนำมาผสมรวมกัน” แต่ก็น่าเสียดายที่ผมยังไม่รู้สึกว่ามันเท่ากับอนิเมะตอนที่ 19 บอกไว้ก่อนว่านี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมอย่างเดียวนะ! แม้ว่าตอนนี้ประเทศไทยจะมีประเด็นเกิดขึ้นและมีอะไรหลายอย่างที่ดูวุ่นวาย แต่ผมขอยืนยันเลยว่าถ้ามีเวลาก็ควรไปดู มันเป็นภาพยนตร์ที่สมควรดูมาก ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ยังไงก็อย่าลืมไปดูกันในโรงภาพยนตร์ด้วยนะครับ!
ภาพยนตร์อนิเมะ Kimetsu No Yaiba: Mugen Ressha-Hen ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ มีกำหนดฉายในประเทศไทยวันที่ 9 ธันวาคม 2020
รีวิวโดย: Tetsuya
แปลและเรียบเรียงโดย: TrunksTH
รีวิวภาพยนตร์อนิเมะ Kimetsu no Yaiba Mugen Ressha-hen
