พูดถึงนักเขียนที่มีผลงานโด่งดังเป็นที่รู้จักกันอย่างดีก็ต้องมีอ.อาราคาวะ ฮิโรมุ อยู่ในนั้น เธอเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานดังอย่าง แขนกลคนแปรธาตุ (Fullmetal Alchemist), ผู้กล้าแห่งอัสลัน (Arslan Senki), ยมลแห่งยมโลก (Yomi no Tsugai), รากหญ้าบรรดาศักดิ์ (Hyakushō Kizoku), Silver Spoon ฯลฯ เรียกได้ว่าผลงานและลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ชนิดที่ใครเห็นก็ต้องนึกออกเลย
แต่ว่าการจะติดตามชีวิตประจำวันของนักเขียนท่านนี้ก็ดูจะยากสักหน่อย เพราะขณะที่นักเขียนหลาย ๆ ท่านมีบัญชีโซเชี่ยลมีเดีย สำหรับนำเสนอผลงาน แจ้งข่าว หรือบอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันแต่อ.ฮิโรมุกลับไม่ใช้บัญชีโซเชี่ยลส่วนตัวเลย (มีบัญชีสำหรับ PR แต่ละเรื่องซึ่งน่าจะไม่ใช่เจ้าตัวดูแล) ขนาดว่าใบหน้าที่แท้จริงยังไม่เคยปรากฎออกสื่อด้วยซ้ำ (ที่เห็นรูปนักเขียนโผล่มาบ่อย ๆ ท่านนั้นเป็นนักพากย์นะ นักเขียนไม่เคยเปิดเผยใบหน้า) ในคราวนี้เราก็จะไปดูบทสัมภาษณ์จากฝั่งญี่ปุ่นที่สอบถามอ.ฮิโรมุเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้กัน
(เรียบเรียงบทสัมภาษณ์บางส่วนมาจาก https://kyoko-np.net/2025040101.html)
ที่บ้านคุณมีการจัดการกับอินเตอร์เน็ตอย่างไร
ตอนฉันอยู่บ้านมีอุปกรณ์มัลติฟังก์ชั่นรวมเอาโปรแกรมแปลและการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตใช้ร่วมกัน จะไม่สามารถโทรออกได้ถ้าใช้เน็ตอยู่
แปลว่าจริง ๆ คุณก็ใช้อินเตอร์เน็ตมาอยู่แล้วระยะนึง
ตอนนั้นฉันใช้พวกบอร์ดข้อความที่มีผู้คนที่มีงานอดิเรกเหมือน ๆ กันมารวมตัวกัน ฉันเองก็สร้างกลุ่มขึ้นมาร่วมกับเพื่อนโดจิน ก่อนหน้านั้นฉันย้ายมาโตเกียวและได้ซื้อคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะโดยได้ความช่วยเหลือจากเพื่อนนักวาดที่ได้เจอกันที่นั่น ก็เลยยังติดต่อพวกเขาผ่านบอร์ดเหมือนกัน ฉันชอบเข้าไปดูบอร์ดพวกหัวข้อเรื่องสยองขวัญด้วย น่าจะเป็นใน 2channel อ้อ ถ้าพูดถึงเรื่องสยองขวัญล่ะก็ ตอนนั้นมีหัวข้อเล่าเรื่อง “การจู่โจม” ด้วย
“การจู่โจม?”
สมัยก่อนโดจินชิจะมีเขียนที่อยู่สำหรับติดต่อกับนักเขียนไว้ แฟน ๆ ที่คลั่งไคล้นักเขียนมาก ๆ จะบุกไปหานักเขียนโดยตรง และก็มีเว็บไซต์ที่รวบรวมรายงานเรื่องพวกนี้ด้วย ฉันเห็นแล้วยังรู้สึกว่า “น่ากลัวจัง” (หัวเราะ)
แปลว่าตอนนั้นคุณก็ถือว่าติดโซเชี่ยลเหมือนกันสินะ
ตอนนี้ถ้ามองย้อนไปฉันคิดว่าก็ติดแหล่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันคิดว่าฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ในอินเตอร์เน็ตไปกับการหาข้อมูลต่าง ๆ มากกว่า
ได้ยินมาว่าเคยเปิดเว็บไซต์ของตัวเองมาก่อนด้วย
ฉันเคยสร้างบอร์ดข่าวสารโดยยืมพื้นที่จากเว็บไซต์ของเพื่อนน่ะ แต่ว่าพอเริ่มมีการพิมพ์รายตอนของ Fullmetal Alchemist จำนวนผู้อ่านก็มากขึ้น ฉันปิดบอร์ดไปก่อนที่อนิเมะจะเริ่มฉายซะอีก
ทำไมถึงปิดล่ะ?
มีคนแฮ็ครหัสผ่านของเว็บและเข้าไปทำลายข้อมูล ฉันเลยต้องปิดอย่างกะทันหัน จากนั้นฉันก็เลยไม่ได้ใช้บอร์ดหรือโซเชี่ยลมีเดียอีกเลย
ไม่ได้มีการเสิร์ชหาชื่อตัวเองหรือใช้บัญชีของ X เลย?
ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยตั้งแต่สมัย Fullmetal Alchemist ฉายตอนปี 2004 นั่นก็ 20 กว่าปีมาแล้ว
ได้ยินมาว่าในช่วงหลังนี้ นักเขียนต่างโพสต์เกี่ยวกับผลงานของตนบนโซเชียลมีเดีย ทำให้จำนวนจดหมายจากแฟนคลับที่ส่งถึงกองบรรณาธิการลดลง จะพูดได้เต็มปากว่าเราอยู่ในยุคสมัยที่ความคิดเห็นของผู้อ่านจะเข้าถึงคุณได้ยากหากคุณไม่ใช้โซเชียลมีเดีย
สมัยก่อนพอมังงะได้รับการตีพิมพ์ ก็จะมีการตั้งกระทู้เกี่ยวกับมังงะเรื่องนั้น ๆ ฉันเคยเห็นนักเขียนที่ยอมรับความคิดเห็นใน 2channel ว่า “แบบนี้ดีแหะ” และก็ดำเนินเรื่องราวไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ผลก็คือความนิยมในเรื่องลดลงไปเรื่อยๆ ตอนนั้นฉันคิดว่า “น่ากลัวจัง” ดังนั้นจึงคิดว่าที่นั่นไม่ใช่สถานที่ทั่ว ๆ ไป
แม้จะมีอะไรที่แบบว่า เป็นกระทู้เกี่ยวกับ อาราคาวะ ฮิโรมุ ก็ตาม?
ฉันก็ไม่อยากดูหรอก (หัวเราะ) เพราะว่าทุกคนมักจะเขียนคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง ถ้าหากมันตรงเขาก็จะบอกว่า “นี่ไง ฉันว่าล่ะต้องแบบนี้” แต่ถ้ามันไม่ตรงเขาก็อาจจะพูดว่า “บางทีนักเขียนรู้ว่าคนอ่านจับไต๋ได้แล้วเลยรีบเปลี่ยนเนื้อเรื่อง” ฉันว่านี่เป็นอีกเหตุผลนึงที่ฉันรักษาระยะห่างจากอินเตอร์เน็ต เพราะว่าฉันเองก็รับอิทธิพลจากความเห็นของนักอ่านได้ง่ายเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ฉันสนุกกับการอ่านแอปพลิเคชั่นมังงะอย่าง “Gangan ONLINE” และช่องคอมเม้นท์ของอนิเมะเรื่อง “รากหญ้าบรรดาศักดิ์” ที่สตรีมบน YouTube
นอกเหนือจากนี้อ.ฮิโรมุยังเคยพูดถึงประเด็นที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า
ปัจจุบันมีคนโดนโจมตีเพียงแค่อีกฝ่ายอ่านหัวข้อข่าว ฉันเคยสัมภาษณ์คู่กับอ.อารากิ (คนวาดโจโจ้) และได้คุยกับเขาว่า “ฉันไม่ใช้ทวิตเตอร์” ก็โดนเว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งเขียนหัวข้อว่า [อาราคาวะ ฮิโรมุ “นักวาดการ์ตูนที่ใช้ทวิตเตอร์เป็นพวกคนชั้นสอง”]*
*ที่ญี่ปุ่นมีแบ่งคนทำงานเป็นพวกชั้นหนึ่งชั้นสอง (บางแห่งมีชั้นสามด้วย) จะมีการเปรียบเทียบเช่น คนชั้นยอดเห็นคุณค่าของเวลา คนชั้นสองใช้เวลาเป็นข้ออ้าง, คนชั้นยอดขอโทษและเรียนรู้ คนชั้นสองจะโทษคนอื่นฯลฯ
(คนสัมภาษณ์หัวเราะ)
นั่นเป็นการบิดเบือนที่แย่มาก ฉันไม่เคยพูดแบบนั้น แต่ในบทความนั้นระบุหัวข้ออย่างชัดเจนว่าเป็นฉัน สามีของฉันอ่านแล้วก็ถามฉันว่าทำไมฉันพูดอะไรแบบนั้น ฉันก็เลยคิดว่า “คุณคิดว่าฉันเป็นคนประเภทพูดแบบนั้นหรือไง!” ตอนนั้นฉันคิดเรื่องหย่าจริง ๆ นะนั่น (หัวเราะ)
(หัวเราะ) แต่ว่าหากมีข่าวที่ไม่ถูกต้องออกมามันจะแก้ไขไม่ได้ถ้าคุณไม่ออกมาพูดเอง จะพูดอะไรหน่อยไหม
ก็ต้องพูดสิ บ้าเอ๊ย! (หัวเราะ) ฉันไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นเลยนะคะ
แต่ทึ่งนะที่คุณควบคุมตัวเองได้
ฉันเดาว่า เพราะคนที่รู้เรื่องจริง ๆ จะสามารถช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ คือหากข้อมูลเท็จถูกถ่ายทอดไปเรื่อย ๆ และไม่มีใครแก้ไข ข้อมูลก็จะหลุดในโลกแห่งความเป็นจริงและผู้คนจะเชื่อว่าจริง แต่เท่าที่ดูคือไม่มีเหตุการณ์ต่อเนื่องเกี่ยวกับคำพูดที่ฉันไม่ได้พูดนั้น นั่นก็หมายความว่ามีใครหลาย ๆ คนกำลังแก้ต่าง/แก้ไขข้อมูลเท็จเหล่านั้นอยู่ ฉันไว้ใจแฟนๆ นักอ่านของฉันในเรื่องนี้
ฉันคิดว่าคุณรักษาระยะห่างจากอินเตอร์เน็ตได้ดี
ไม่รู้สิ แต่ฉันเดาว่าเพราะสมองของฉันเป็นอนาล็อค
ขณะที่คุณต้องระมัดระวังในการรักษาระยะห่างจากอินเทอร์เน็ต แต่ก็ต้องพยายามให้ผลงานของคุณได้รับการยอมรับ ถ้าคุณไม่โปรโมตมันบนโซเชียลมีเดีย อันนี้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากมากสำหรับนักวาดการ์ตูนมือใหม่เลยนะ
ใช่เลย แล้วในอดีตสถานที่เดียวที่สามารถเผยแพร่ผลงานได้คือผ่านสื่อบนหน้ากระดาษและมีกระทั่งผังการฉายด้วย แต่ด้วยยุคดิจิทัลและมีผลงานเผยแพร่จำนวนมากมาย ผลงานต่างๆ อาจจมหายไปได้ง่าย อย่างไรก็ตามถ้ามันมีกระแสผู้คนจะเริ่มคิดว่า “ถ้าคนอื่นดูกันหมด ฉันก็จะดูด้วย”
งั้นถ้าต้องเดบิวต์ในยุคนี้ คุณคิดว่าคุณจะทำอย่างไร?
อืม ยังไงดีนะ? วิธีการต่อสู้ของเราก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อน ฉันเดาว่ามันจะเริ่มต้นด้วยหนังสือพิมพ์หรืออย่างใดอย่างหนึ่งและทำให้มันเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย… แต่ฉันคิดว่าฉันจะตั้งเป้าหมายให้มันได้รับการตีพิมพ์เป็นสิ่งพิมพ์เป็นหลัก เพราะฉันชอบหนังสือแบบรูปเล่ม ฉันอยากได้มันไว้บนชั้นวางหนังสือของฉัน
ในยุคดิจิทัล วิธีที่ผู้อ่านโต้ตอบกับมังงะก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เพียงนักเขียนเท่านั้น
ตอนนี้มี E-Book มากมายให้ดาวน์โหลดฟรีบนอินเทอร์เน็ต และบางคนก็ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อเล่มหรือภาคต่อ ซึ่งช่วยเราได้มาก ตอนแรกฉันเคยคิดว่า “จะแจกฟรีหนึ่งบทไปเพื่ออะไร” แต่แล้วฉันก็เห็นคนซื้อบทที่เหลือทั้งมัน ฉันเลยเริ่มเข้าใจและตัดสินใจว่า “โอเค ลองให้ฟรีหนึ่งเล่มดูสิ” ผู้คนก็เริ่มซื้อเล่มในซีรีส์ทั้งหมด ได้ยินมาว่าเมื่อมีการตัดสินใจที่จะให้ตอนทั้งหมดของ Golden Kamuy มีให้อ่านฟรี ก็ดูเหมือนว่าหนังสือแต่ละเล่มจะขายได้ดีเลยทีเดียว
แม้ว่าทุกตอนจะออกฉายฟรี แต่ผู้คนก็ยังคงซื้อมันอยู่ดี นั่นมันไม่แปลกเหรอ? พอแบบนี้แล้วฉันก็เริ่มอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโซเชี่ยลนะ (หมายเหตุ บทสัมภาษณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันเอพริลฟูลเดย์…เอ๊ะ?)
ติดตามดูอนิเมะถูกลิขสิทธิ์ ได้ที่นี่ Online Station