รีวิวเกม Assassin’s Creed Shadows – เมื่อไดเรคชั่นไม่ชัดเจนจึงเป็นได้เพียง “เกมที่ดี”

หลังจากมีส่วนร่วมกับการพัฒนา DLC ของ Assassin’s Creed III มาจนถึงได้สร้างภาคเสริมเป็นของตัวเองอย่าง Freedom Cry ในภาค IV ก่อนจะผันตัวมาเป็นอีกหนึ่งทีมหลักของซีรีส์ด้วยการสร้างภาค Syndicate และ Odyssey ในที่สุด Ubisoft Quebec ก็ได้รับหน้าที่ในการพัฒนา Assassin’s Creed ภาคตะลุยแดนญี่ปุ่นที่แฟนๆ รอคอยกันมาเนิ่นนาน และหลังจากที่เราได้ใช้เวลากับเกมนี้ไปเกือบ 50 ชั่วโมง เคลียร์เนื้อเรื่องหลักตั้งแต่ต้นจนเครดิตขึ้น สัมผัสกับ Activity ทุกรูปแบบที่มีอยู่ในตัวเกม นี่คือบทวิจารณ์ของพวกเราต่อ Assassin’s Creed Shadows

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องของ Shadows จะอยู่ในช่วงยุคศักดินาของประเทศญี่ปุ่น เมื่อ Oda Nobunaga ยกทัพมาตีจังหวัด Iga อันเป็นบ้านเกิดของ Fujibayashi Naoe คุโนอิจิสาว หนึ่งในตัวเอกของเกม จนทำให้กล่องสมบัติลึกลับที่ชาว Iga เฝ้ารักษาเอาไว้ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มคนที่มีชื่อว่า Shinbakufu ผู้ซึ่งคอยชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ภายในประเทศ

Assassin's Creed

ส่งผลให้ Naoe ที่กลายมาเป็นความหวังของชาว Iga ต้องร่วมมือกับมิตรสหายที่ยังหลงเหลือ จัดการกับหัวหน้าทุกคนของกลุ่ม Shinbakufu และตามหากล่องสมบัติกลับคืนมาให้ได้ ในนามของ League of the Hidden Blade หรือ Kakushiba Ikki ซึ่งนั่นก็รวมถึง Yasuke ซามูไรผู้รับใช้ Oda Nobunaga ที่โชคชะตาพลิกผันต้องมาเข้ากลุ่มร่วมด้วยช่วยกันกับ Naoe เพื่อเป้าหมายที่สอดคล้องกันด้วยอีกคน

แม้จะบอกว่า Assassin’s Creed ภาคนี้มีตัวเอกสองคน แต่เนื้อเรื่องของเกมจะถ่ายทอดถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่รายล้อมตัว Naoe เสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่เหมือนกับตอนภาค Syndicate ที่นำเสนอเรื่องราวของตัวเอกทั้งคู่ได้สำคัญเท่าๆ กัน แต่สิ่งที่เราอยากชื่นชมก็คือเกมภาคนี้เปิดตัวด้วยเนื้อเรื่องเบื้องต้นที่น่าติดตาม เราอยากเอาใจช่วย Naoe ที่ต้องมารับภาระอันหนักอึ้ง เราอยากเห็นว่าบุคคลิกที่นอบน้อมของ Yasuke จะมีผลยังไงกับตัวเขาในฐานะคนแอฟริกันเพียงหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น แถมการเปิดตัวแก๊งวายร้ายของภาคนี้ก็ทำออกมาได้เท่จัดๆ

แต่สิ่งที่ทำเอาความรู้สึกชื่นชมของเราค่อยๆ ลดลงไปอย่างน่าเสียดายก็คือการนำเสนอเนื้อเรื่องของเกมในแต่ละเควสต์หลักซึ่งมักจะมีโครงสร้างที่เหมือนกันแทบทั้งหมด หากจะอธิบายแบบไม่ให้เป็นการสปอยล์ก็คือในช่วงแรกๆ เราอาจรู้สึกได้ว่าเกมมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง แต่พอชั้นเชิงนั้นถูกนำมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จากเควสต์หนึ่งสู่อีกเควสต์หนึ่ง มันก็ทำให้เราราวกับถูกผลักออกไม่รู้สึกผูกพันธ์ไปกับเนื้อเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเคย พอบ่อยครั้งเข้าก็กลายเป็นว่าสุดท้ายเราแค่อยากจะรอดูเฉยๆ ว่าสุดท้ายแล้วเนื้อเรื่องหลักแต่ละเควสต์จะจบยังไงโดยไม่รู้สึกอยากเอาใจช่วย จบแล้วก็จบกันไป

กราฟิก

ในขณะที่กราฟิกโดยรวมของเกมดูจะสมจริงตามมาตรฐานของเกม AAA ในยุคนี้ แต่สิ่งที่พลาดโอกาสในการมาเกื้อหนุนให้ภาพลักษณ์ของ Shadows ดียิ่งขึ้นไปได้ก็คือการออกแบบในหลายๆ จุด โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมนอกตัวเมือง หลายพื้นที่มักจะมีแมกไม้นานาพันธุ์ขึ้นมาบดบังทัศนวิสัยของผู้เล่นอยู่บ่อยครั้งเมื่อออกไปจากเลนถนนหรือพื้นที่โล่งกว้าง เราอาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ที่จะบอกได้ว่าแบบนี้แหละสมจริงดีแล้ว แต่ในแง่ของการเป็นสื่อบันเทิงที่ต้องสื่อสารกับผู้เล่น

Assassin's Creed

การปล่อยให้เกมมีอุปสรรคแบบนี้มันจะลดทอนความอยากสำรวจของผู้เล่นไปพอสมควร เพราะสิ่งที่รอเราอยู่อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางแต่เป็นการเสียเวลา มันเหมือนกับเกมกำลังเชียร์ให้เราเปิดระบบนำทางที่เป็นเส้นสีขาวๆ บนพื้นเถอะ ง่ายกว่าเยอะ แต่พอยิ่งเป็นแบบนั้น เราก็จะเอาแต่ดูเส้นบนพื้นมากกว่าจดจำสภาพแวดล้อมของพื้นที่ต่าง ๆ แทน แต่ในทางกลับกันมันอาจจะเป็นข้อดีก็ได้เพราะไม่ว่าจะในเมือง หรือตามป่าเขา ภาพที่เห็นสองข้างทางก็ดูจะคล้ายกันไปหมด ถ้ามองไม่ออกว่าต้องโหนเชือกไปทิศไหน หรือตรงไหนที่ปีนได้ ก็แค่มองหาผ้าหรือสีเหลืองที่ถูกทาเอาไว้ตามฉากก็พอ

Assassin's Creed

แม้ตัวเกมจะมีระบบฤดูกาลที่หมุนเวียนอยู่ตลอด แต่นอกจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลาแล้ว มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับการเล่นมากนัก ผิดกับผลงานก่อน ๆ ของทีมงานนี้อย่าง Syndicate หรือ Odyssey ที่ยังมีแลนด์มาร์กให้จดจำหรือตื่นตาอยู่ไม่น้อย

เสียง

ตัวเกมจะมีออปชั่น Immersive Mode ให้เลือกปรับได้ตั้งแต่เริ่มเกม คือเสียงพากย์จะอิงตามเนื้อเรื่อง ทุกคนจะพูดภาษาญี่ปุ่น หรืออาจมีการใช้ภาษาโปรตุเกศบ้างในบางเหตุการณ์ แต่เราสามารถเลือกภาษาของซับไตเติลได้ตามใจชอบ ยกเว้นเราจะชอบภาษาไทย เพราะไม่มีให้เลือก แน่นอนว่าเสียงพากย์ภาษาญี่ปุ่นดูจะช่วยสร้างบรรยากาศได้มากที่สุดสำหรับภาคนี้ เพราะมันเข้ากับตัวละคร เข้ากับสถานการณ์ ส่วนเสียงภาษาอังกฤษก็จะมีการพากย์ด้วยสำเนียงญี่ปุ่น การออกเสียงชื่อเฉพาะภาษาญี่ปุ่นก็ถูกต้องเกือบทั้งหมด เราอาจได้ยินบางตัวละครหลุดเรียก Shogun ว่า “โชกัน” หรือ Samurai ว่า “แซมูไร” บ้างแค่ครั้งสองครั้ง แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดี โดยเฉพาะ Naoe ที่น้ำเสียงค่อนข้างมีเอกลักษณ์

Assassin's Creed

ในขณะที่ดนตรีประกอบก็มาจากเครื่องดนตรีของญี่ปุ่นที่ไพเราะและตรงตามยุคสมัยของในเกม รวมถึงการนำเสียงร้องแบบชาวแอฟริกันมาผสมผสานกับดนตรีญี่ปุ่นโบราณก็ถือว่าเสนาะหูใช้ได้ สื่อถึงตัว Yasuke ได้ดี แต่ที่เรารู้สึกว่าใช้ไม่ค่อยได้ก็คือเพลงประกอบในบางคัตซีน ที่อยู่ ๆ ก็เป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีญี่ปุ่นยุคเก่ากับดนตรีสากลยุคปัจจุบัน จริงอยู่ที่มันอาจแปลกใหม่ แต่มันทำให้เราหลุดออกจากประสบการณ์ตรงหน้าไปพอสมควร เพราะเนื้อเรื่องอยู่ในยุคโบราณ และตัวเกมก็ใช้ดนตรีแบบโบราณมาตลอด การมีดนตรียุคใหม่แทรกเข้ามาแบบนี้มันขัดอารมณ์ความต่อเนื่องไปพอสมควร

เกมเพลย์

Naoe เน้นลอบเร้น Yasuke เน้นสู้ซึ่งหน้า และเราสามารถสับเปลี่ยนตัวละครไปมา นี่คือประโยคที่สั้นที่สุดที่จะสามารถอธิบายเกมเพลย์ของภาคนี้ได้ ฟังดูมันอาจเหมือนว่าตัวเกมมีทางเลือกให้กับผู้เล่น แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือทั้งสองตัวละครมีความแตกต่างกันมากเกินไป ทางเลือกที่เกมมีมาให้จึงกลายเป็นการบีบบังคับผู้เล่นไปในตัว Naoe จะเสียเปรียบมากๆ หากถูกศัตรูรุมและ Yasuke ก็จะหลบซ่อนหรือปีนป่ายแทบไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นบางพื้นที่ก็จะมีจุดที่ต้องใช้ตัวละครเฉพาะ อย่างต้องใช้ Naoe เพื่อปีนขึ้นที่สูง หรือต้องใช้ Yasuke ยกหรือดันของหนักๆ และปัญหาคือเราจะเปลี่ยนตัวละครในพื้นที่ศัตรูไม่ได้ ต้องออกไปข้างนอก กดเข้าเมนูเปลี่ยนตัว แล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่

Assassin's Creed

มันไม่เหมือนกับระบบสองตัวละครในภาค Syndicate ที่พื้นฐานของทั้งคู่เป็นมือสังหารเหมือนกัน ทำทุกอย่างได้คล้ายๆ กัน แค่ Jacob จะเน้นบู๊มากกว่าเล็กน้อย ส่วน Evie ก็ลอบเร้นดีกว่าสักหน่อย แต่กับ Shadows นั้นถ้าเลือกตัวละครไม่ถูกกับพื้นที่หรือสถานการณ์ ความพยายามอาจไม่นำพามาเพียงแค่ความสำเร็จ แต่ยังนำมาซึ่งการเสียเวลาโดยใช่เหตุอีกด้วยในทางกลับกัน แม้ว่าตัวเกมจะมีระบบผู้ช่วยมาเป็นกำลังเสริมในบางสถานการณ์ที่คับขันแล้วก็ตาม

Assassin's Creed

เราสามารถไปสำรวจหรือทำเควสต์เสริมจากทุกโซนของแผนที่ได้ตั้งแต่ช่วงแรก แต่เกมก็จะมีระบบเลเวลของศัตรูที่จะสูงกว่าเราในพื้นที่ที่เนื้อเรื่องหลักยังดำเนินไปไม่ถึง ศัตรูหล่านั้นจะแกร่งในในระดับที่สู้ซึ่งหน้าแทบไม่ไหว ลอบสังหารก็อาจจะแทงไม่เข้า บางทีแค่จะไปเปิดเสา Ubisoft เพื่อเคลียร์ Activity ต่างๆ ซึ่งจำเป็นต่อการปลดล็อกขั้นของสกิลล่วงหน้าก็เป็นไปได้ยาก เพราะพื้นที่เหล่านั้นมักจะมีศัตรูเลเวลสูงอยู่กันเต็มไปหมด

Assassin's Creed

เหมือนกับเกมกำลังบอกให้เราอยู่แต่ในโซนตามเนื้อเรื่องหลักไปก่อนดีกว่า บางทีข้ามโซนไปกำจัดเป้าหมายสำคัญก่อนเนื้อเรื่องจะทันได้เล่ามันก็อาจจะทำให้เรางงๆ ได้บ้างเหมือนกัน ว่าทำไมฆ่าตัวนี้แล้วมันต้องมีฉากตายแบบพิเศษกว่าศัตรูทั่วไปด้วย ซึ่งพอเป็นแบบนี้แล้วเราก็ได้แต่อยากตั้งคำถาม ว่าหากยากจะมอบอิสระให้ผู้เล่นแล้วก็ไม่ควรมาบังคับกันทางอ้อมแบบนี้ การปิดพื้นที่ว่าโซนนี้ยังเข้าถึงไม่ได้ไปเลยอาจจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า

การเก็บเลเวลมาอัปสกิลก็ยังให้ความรู้สึกถึงพัฒนาการของตัวละครได้เหมือนอย่างใน Assassin’s Creed หลายภาคหลังๆ เมนูอัปสกิลเข้าใจง่ายด้วยคำอธิบายที่กระชับ มีการแทรกภาพวิดีโอสาธิตในสกิลที่จำเป็น ช่วยให้เราสร้าง Naoe และ Yasuke ที่ตรงกับแนวทางในการเล่นของตัวเองได้ค่อนข้างง่าย การให้แสงและเงาที่มีบทบาทกับระบบลอบเร้นก็ช่วยให้เกมมีความสนุกขึ้น รวมถึงศัตรูก็ฉลาดขึ้นเล็กน้อยอย่างการเตรียมอาวุธขึ้นมารอสวนทันทีเมื่อรู้สึกว่าอาจถูกซุ่มโจมตี ตลอดจนระบบเรียกใช้ Scout หรือสมาชิก League of the Hidden Blade ให้มาช่วยเก็บเสบียงไปพัฒนาฐาน ช่วยหาข้อมูลบนแผนที่เพื่อระบุตำแหน่งเควสต์ก็ทำให้การสำรวจมีความสนุกที่ได้มาจากการใช้ความคิดมากขึ้น แม้ว่าใช้ไปบ่อย ๆ แล้วมันจะทำให้เราคิดถึงความสบายจากนกโดรนในภาคก่อน ๆ อยู่บ้างก็ตาม

สรุป

Assassin’s Creed Shadows เป็นเกมที่มีจุดเด่นของตัวเองและมีหลายๆ ข้อดีสืบทอดมาจากภาคก่อนๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีบางจุดที่เกมนำเสนอออกมาได้ด้อยกว่าที่เคย อาจจะด้วยเพราะไดเรคชั่นที่ไม่ชัดเจน เกมมีความย้อนแย้งในตัวเองในหลายๆ จุดด้วยเหตุผลบางประการ จึงทำให้สะดุดขาตัวเองบ่อยครั้ง สำหรับแฟนๆ ซีรีส์ที่อยากเล่นภาคีมือสังหารภาคแดนญี่ปุ่นมาเนิ่นนานจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เกมซึ่งพวกเขารอคอยไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมกว่านี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วเรารู้สึกว่าภาคนี้ก็ยังเป็น Assassin’s Creed ที่เล่นได้เพลินๆ สนุกบ้าง ขัดใจบ้าง แค่พอจบแล้วมันอาจไม่มีอะไรให้น่าจดจำสักเท่าไหร่นักนั่นเอง

Assassin's Creed

ป.ล. ระหว่างที่เล่นก่อนวันวางจำหน่าย เราพบบั๊กด้านกราฟิกและเสียงของเกมอยู่บ้างสองสามครั้ง ซึ่งก็ไม่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เกมแครช แต่ Ubisoft ก็แจ้งมาว่า บั๊กเหล่านั้นจะถูกแก้ด้วย Day-1 Patch ที่จะมาพร้อมกับเวอร์ชั่นที่คนทั่วไปสามารถ Pre-load กันได้ก่อนเกมวางจำหน่ายประมาณสองถึงสามวันครับ

Assassin's Creed

VERDICT
7/10

Assassin’s Creed Shadows มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 20 มีนาคมนี้บน PC, PS5, Xbox Series และ Mac ครับ

  • บทรีวิว อาร์ม @Pirawits
  • เรียบเรียง Dark_Libra

ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้