ท่ามกลางเกมไฟท์ติ้งตามท้องตลาดที่มีให้เห็นกันบ่อย ๆ ก็มักจะหนีไม่พ้นเกมต่อสู้ที่ต้องรัวคอมโบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สะสมเกจพลัง ก่อนจะจบด้วยท่าไม้ตายสวย ๆ ทว่าในช่วงกลางทศวรรษ 90 เคยมีเกมซีรีส์หนึ่งที่หาญกล้า พยายามสวนกระแส แหกสูตรของเกมไฟท์ติ้งทั่วไปในยุคนั้นอยู่ ซึ่ง Bushido Blade ก็คือเกมที่ว่านั้น และหากย้อนไปเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 1998 หรือ 27 ปีที่แล้วก็เป็นวันวางจำหน่ายของเกม Bushido Blade 2 บนเครื่อง PS1 ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยเกมนี้เป็นผลงานการพัฒนาโดยทีม Light Weight ที่ถนัดในการทำเกมที่มีกลิ่นอายซามูไร และจัดจำหน่ายโดย Squaresoft (หรือ Square Enix ในปัจจุบัน) นั่นเอง บทความนี้เราจะมาพาเพื่อน ๆ ย้อนรำลึกไปกับข้อมูลของเกมนี้ในวาระครบรอบ 27 ปีของ Bushido Blade 2 กันครับ
(ล่าง) ปกเกมเวอร์ชั่นญี่ปุ่นทางซ้าย และทางขวาเป็นปกเวอร์ชั่นตะวันตก
ความเป็นมาของเกม
ก่อนอื่นเลย เกมซีรีส์ Bushido Blade จะเป็นเกมแนวไฟท์ติ้งสไตล์ซามูไรที่ไม่เหมือนเกมอื่น ๆ เนื่องจากตัวละครในเกมไฟท์ติ้งทั่วไปนั้นจะมีเกจพลังชีวิต เกจท่าไม้ตาย แต่เกมนี้จะอิงความสมจริงของวิถีซามูไรเลย เกจพลังไม่ต้องมี ท่าไม้ตายไม่ต้องใช้ อาศัยแค่ท่าโจมตีเหมือนซามูไร ทุกอย่างชี้ชะตาได้ในดาบเดียว ทำให้เกมนี้กลายเป็นกระแสที่นิยมในหมู่เกมเมอร์ รวมถึงเกมเมอร์ชาวไทยก็ขวนขวายหามาเล่นกันอยู่ระยะหนึ่งด้วย
เกมเพลย์และพล็อตเรื่อง
เกมเพลย์ของ Bushido Blade 2 จะยังคงยึดแบบแผนของภาคแรกเป็นหลักครับ นั่นก็คือคอนเซ็ปต์บูชิโด “ตัดสินในดาบเดียว” แต่จะมีการปรับแต่งรายละเอียดยิบย่อยแทน เช่น โหมดเนื้อเรื่องที่เดิมในภาคแรกจะสู้รวดเดียวจนจบเกม ทว่าในภาค 2 จะเป็นลักษณะสู้กับศัตรู 2-3 คนใน 1 ฉาก แล้วค่อยย้ายสถานที่ไปสู้ที่อื่น โดยในส่วนของตัวละครที่มีให้เลือกใช้ก็จะมีทั้งจากฝั่งชะอินโต (สึเอะ) และนารุคากามิ (คากามิ) ที่แต่ละคนก็จะถนัดอาวุธแตกต่างกัน ตัวละครที่ได้ใช้อาวุธที่ตัวเองถนัดก็จะมีท่วงท่าในการโจมตีเพิ่มขึ้นมา ขณะที่บางตัวละครก็จะมีอาวุธลับที่ใช้ขว้างปาจากระยะไกลได้ ซึ่งระหว่างที่สู้กันในแต่ละแมตช์ ผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครให้วิ่ง กระโดด หรือปีนป่ายตามฉากได้ เรียกได้ว่ามีอิสระภายในฉากสู้อย่างเต็มที่ และยังอาศัยสภาพภูมิประเทศของฉากเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการต่อสู้ได้อีกด้วย
หมายเหตุ – คำว่าบูชิโดถือกำเนิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9-12 แต่เริ่มนิยมใช้กันในยุคศักดินาของญี่ปุ่น ช่วงประมาณ ค.ศ. 1600-1878 โดยได้รับอิทธิพลด้านแนวคิดมาจากชินโตและศาสนาพุทธนิกายเซ็น ซึ่งนิยามว่าซามูไรจะต้องรักษาเกียรติของตนเอง, อยู่ในโอวาทของผู้เป็นนาย, ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และต้องยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม
การโจมตีส่วนใหญ่ในเกมนี้ แต่ละท่วงท่ามีความรุนแรงถึงตายได้ในครั้งเดียว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเราโจมตีไปถูกส่วนใดของร่างกายคู่ต่อสู้ โดยระบบอาการบาดเจ็บของนี้จะมีชื่อเรียกเฉพาะว่า “Body Damage System” หากเราโจมตีไปโดนส่วนแขน คู่ต่อสู้ก็จะโจมตีได้ช้าลง หรือถ้าโจมตีจนแขนทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ คู่ต่อสู้ก็จะไม่สามารถโจมตีเราได้ และถ้าเราโจมตีไปที่ขา คู่ต่อสู้ก็จะเดินหรือวิ่งไม่ได้ ทำได้เพียงคลานเท่านั้น เป็นต้น
อาวุธภายในเกมจะมีให้เลือกใช้หลายประเภท อาทิ ดาบปกติ (คาตานะ), ดาบยาว (โอดาจิ), ดาบยาวสไตล์ตะวันตก, เซเบอร์, ดาบยักษ์สไตล์ตะวันตก, ง้าวญี่ปุ่น, เรเปียร์ (ดาบแบบแทงสไตล์ตะวันตก) และค้อนยักษ์ ซึ่งอาวุธแต่ละชนิดก็จะมีระยะโจมตีและความเร็วในการจู่โจมที่ไม่เหมือนกัน ผู้เล่นสามารถตั้งท่าโจมตีได้ 3 ระดับ คือ บน (ตีลงมา), กลาง (ตีแนวขวาง) และ ล่าง (ตีเสย) โดยทุกระดับก็จะมีการตั้งการ์ดหรือบล็อคการโจมตีที่ชนะหรือแพ้ทางกันได้
เนื้อเรื่องของภาค 2 นี้ จะกล่าวถึงช่วงศตวรรษที่ 13 บนเกาะคาโนชิม่าของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีกองกำลัง 2 กลุ่มได้แก่ คากามิ และ สึเอะ ที่ภักดีกับไดเมียว (เจ้าเมือง) คนเดียวกัน โดยทุกคนได้อาศัยร่วมกันอย่างสงบสุข กระทั่งวันหนึ่งได้มีสงครามเกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่ กลุ่มคากามิก็เห็นท่าไม่ดีเลยรีบไปสวามิภักดิ์กับไดเมียวคนใหม่ ขณะที่กลุ่มสึเอะขอยืนหยัดภักดีกับไดเมียวเดิมของตนเองจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความขัดแย้งระหว่างทั้งกลุ่มคากามิและสึเอะจึงปะทุขึ้น โดยทางกลุ่มคากามิได้ลวงกลุ่มสึเอะออกมานอกเกาะคาโนชิม่าเพื่อสู้รบกัน และแล้วกลุ่มสึเอะก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และสูญเสียดาบศักดิ์สิทธิ์นามว่า “ยูกิริ” ไป กระทั่งในอีก 800 ปีต่อมา ในโรงเรียนชะอินโตซึ่งเป็นที่รวบรวมเหล่าทายาทของกลุ่มสึเอะได้บุกโจมตีสำนักนารุคากามิชินโตริว ที่สังกัดกลุ่มคากามิเพื่อหวังจะชิงดาบยูกิริกลับมา พร้อมทั้งกวาดล้างทายาทของกลุ่มคากามิให้หมดสิ้นไป
เกร็ดเล็กน้อยในเกม
- ท่าดีใจเวลาชนะของตัวละคร Jo นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากตัวละคร Cloud Strife ของเกม Final Fantasy 7 ครับ ถ้าใครเห็นคงร้องอ๋อเลย
- ถ้าเราสามารถจบเกมได้โดยที่ไม่ตายหรือกดคอนทินิวเลย นักรบของเราจะรำอาวุธของตัวเองให้ดูในตอนท้ายเกมด้วย
- ถ้าผู้เล่นนำตัวละคร 6 ตัวหลักเคลียร์โหมดเนื้อเรื่องจนครบทุกคน ก็จะปลดล็อคโหมด Hundred Slashes มาเล่นได้
- ปกติแล้วถ้าเราเล่นเป็นนักรบของฝ่ายสึเอะ ในฉากสุดท้ายเราจะต้องสังหารองค์หญิงของฝ่ายคากามิ แต่ถ้าเราสังเกตภายในฉากดี ๆ จะพบว่ามีประตูเปิดอยู่ด้านหลังตัวเรากับองค์หญิง ถ้าเราเดินออกจากประตูนี้ไปเลยโดยที่ไม่สังหารองค์หญิงก็จะพบฉากจบลับของฝ่ายสึเอะครับ
- เกมนี้จะมีตัวละครระดับโคตรโกงอยู่ 2 คนครับ ได้แก่ สึบาเมะ (Tsubame) และ คัตเซ่ (Katze) โดยสึบาเมะจะมีอาวุธเป็นปืนกล ส่วนคัตเซ่จะเป็นปืนพก ซึ่งวิธีปลดล็อคสึบาเมะมาใช้ก็คือเคลียร์ Slash Mode ด้วยตัวละครจากฝั่งคากามิภายในเวลาไม่เกิน 15 นาที และวิธีปลดล็อคคัตเซ่ก็คือเคลียร์ Slash Mode ด้วยตัวละครใดก็ได้ภายในเวลาไม่เกิน 15 นาที
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station