รีวิวเกม Split Fiction – เอารางวัลอะไรก็ได้ให้พรี่ Josef Fares อีกสักปีดิ๊!

ผมเชื่อว่าในยุคสมัยนี้เกมเมอร์หลายๆ คนไม่ได้ร้องว้าวหรืออุทานเสียงหลงไปกับการนำเสนอคอนเทนต์ในเกมบ่อยนัก เพราะพวกเรานั้นล้วนผ่านการเล่นเกมมามากมายก่ายกอง จะยิ่งใหญ่ ภาพสวย หรือชวนว้าวขนาดไหน มันก็อาจต้อง “ทำถึง” ในระดับหนึ่งจึงจะสามารถทำให้พวกเรารู้สึกทึ่งหรือแอบนิยมชมชอบอยู่ในใจจนเปล่งออกมาเป็นเสียงได้

ผมเองก็อารมณ์คล้ายๆ กัน รู้ตัวดีว่าเป็นคนที่ตื่นตาตื่นใจกับเกมได้ไม่บ่อยขนาดนั้น คือไม่ได้หัวสูงหรืออะไร แต่เพราะองค์ประกอบโดยรวมของเกมส่วนมากที่ผ่านตามันอาจจะยังขาดๆ เกินๆ อยู่บ้างในบางจุด บางเกมทำถึงในจุดหนึ่ง แต่อีกจุดกลับธรรมดาจนไม่ช่วยส่งเสริม ที่ผ่านมาพวกเกมที่ผ่านเกณฑ์ทางอารมณ์จริงๆ ก็แค่หยิบมือพอนับนิ้วได้ ทว่านับตั้งแต่ได้ลองเล่น Split Fiction ผมก็เริ่มคิด… ว่าเกมในตลาดมันหาเกมที่พรั่งพร้อมได้ยากหรือแค่เพราะผมไม่เคยเล่นเกมของ Hazelight Studios มาก่อนกันแน่

Split Fiction

เพราะตลอดเวลาการเล่นกว่า 20 ชั่วโมงที่พาดผ่านไป Split Fiction ทำให้ผมต้องร้องอุทานออกมาด้วยความประทับใจได้เรื่อยๆ ราวกับเปิด SSR เกมกาชาได้ในทุกๆ 10 โรล มันเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ ใส่ใจ เล่นท่ายาก และที่สำคัญที่สุดคือสนุกสนาน เป็นเกมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาราวกับว่าพรุ่งนี้สตูดิโอจะไม่ได้ทำเกมอีกแล้ว คือตัวผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าใน IT Take Two ผลงานก่อนหน้าของพวกพี่แกเคยใช้มุขไหนไปแล้วบ้างหรือไม่

แต่สำหรับตัวผมเอง Split Fiction คือเกมที่เต็มไปไปด้วยความสดใหม่ ตื่นตา และพูดได้เลยว่านี่คือเกมที่นำเสนอตัวเองได้ดีที่สุดในรอบหลายปี และไม่ว่าพรี่ Josef Fares ผู้ก่อตั้งสตูดิโอจะคุยโวถึงเกมตัวเองไว้ขนาดไหน แต่ในเมื่อเขาทำได้จริงในการส่งมอบสุดยอดผลงานให้กับพวกเราได้อีกครั้ง เราก็มีแต่ต้องซูฮกและอยากจะขอก้มกราบเขางามๆ ในสักที

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องของ Split Fiction จะพูดถึง 2 นักเขียนนิยายอย่าง Mio และ Zoe ที่ถูกเทียบเชิญมายังบริษัทแห่งหนึ่งโดยได้รับการสัญญาว่าผลงานของพวกเธอจะได้รับการตีพิมพ์ ร่วมกับนักเขียนในล็อตเดียวกันอีกหลายชีวิตซึ่งถูกนัดมาเพื่อเซ็นสัญญาที่ออฟฟิศพร้อมๆ กัน แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่าทางบริษัทตั้งใจจะคัดลอกไอเดียของเหล่านักเขียนไปใช้เองโดยใช้เครื่องจักรกลรุ่นพิเศษที่จะถูกทดสอบเป็นครั้งแรกวันนี้ Mio ที่ไหวตัวทันจึงพยายามปฏิเสธการเซ็นสัญญาในทันที แต่ด้วยอุบัติเหตุบางอย่างทำให้เธอตัวกระเด็นไปเข้าเครื่องคัดลอกความคิดของ Zoe และกลายเป็นว่าจิตของทั้งคู่ต้องร่วมมือกันในการฟันฝ่าอุปสรรคมากมายจากความคิด ไอเดีย และความกลัวในส่วนลึกของพวกเธอเอง โดยที่ทั้งคู่ก็ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน

Split Fiction

คล้ายกับงานก่อนหน้า เรื่องราวของ Split Fiction จะบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยและเอาตัวรอดผ่านตัวละคร 2 ตัวอย่าง Mio และ Zoe ซึ่งเรากับเพื่อนอีกคนจะได้เล่นไปพร้อมๆ กัน ความเจ๋งซึ่งนำมาสู่ฉากและเกมเพลย์สุดบันเทิงคือการที่ทีมงานวางให้ตัวละครทั้ง 2 ตัวไม่ใช่แค่ต่างกันแต่เหมือนกับเป็นตัวตนคนละขั้วของกันและกัน ไม่ว่าจะอุปนิสัย ไอเดีย หรือแนวหลักของนิยายที่เขียน

เพราะตัวของ Mio จะถนัดแนวไซไฟวิทยาศาสตร์ ส่วน Zoe จะถนัดในด้านของแฟนตาซีเวทมนตร์ ดังนั้นแล้วตลอดเกมเราจะได้เห็นความไม่เข้ากันของทั้ง 2 ตัวละคร ทุ่มเถียง ออกความเห็น บอกเล่าถึงสิ่งต่างๆ จากคนละมุมมอง รวมไปถึงปมปัญหาฝังใจของแต่ละคน แม้สุดท้ายผู้เล่นหลายคนก็อาจจะพอเดาได้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร แต่การได้เห็นพัฒนาการตัวละครทั้งคู่ที่มีความชัดเจน แม้ประเด็นหลักของเรื่องราวอาจจะไม่ได้ใหม่มากมายนัก ทว่าเราก็ยังสามารถประทับใจกับมันได้มากโขอยู่ดี

กราฟิก เสียง และเพอร์ฟอร์แมนซ์

Split Fiction ใช้เอนจิ้น Unreal 5 ในการสร้าง ดังนั้นแล้วมันจึงถือเป็นอีกเกมที่มีศักยภาพด้านกราฟิกในระดับสูง เพียงแต่ก็ต้องแล้วแต่แพลตฟอร์มของแต่ละคนอยู่ดีว่าจะยินยอมในการรีดเร้นความงดงามของมันขนาดไหน หากเล่นบน PC ก็อาจจะปรับแต่งได้เยอะหน่อย แต่ส่วนของผมนั้นได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PS5 ครับ และดูเหมือนเกมจะไม่มีให้เลือกโหมดแสดงผลอีกด้วย ตอนแรกก็แอบหวั่นว่าเฟรมจะเป็นอย่างไรเพราะเครื่องเราก็ไม่ใช่รุ่น Pro แต่พอเล่นจริง FPS ที่ได้ก็ลื่นๆ แถมค่อนข้างนิ่งแทบไม่มีอาการหน่วงให้เห็น เวลาที่ต้องเจอเกมเพลย์รวดเร็วก็ไม่สะดุดเสียอารมณ์

Split Fiction

ส่วนคุณภาพกราฟฟิกอาจไม่ได้ว้าวขนาดนั้นแต่ห่างไกลคำว่าแย่แน่นอน โมเดลตัวละครก็โอเค แถมทั้งความสวยจริงๆ ของเกมนี้คือการออกแบบสถานการณ์ตามฉากต่างๆ รวมไปถึงองค์ประกอบศิลป์ที่เด็ดขาดบาดใจ เห็นแล้วเข่าแทบทรุดด้วยความปิติ เรียกได้ว่าเกมถูก Optimized มาอย่างดีเยี่ยม มันมีฉากหนึ่งในเกมที่ทำเอาผมน้ำตาเกือบไหลด้วยความประทับใจสุดๆ เพราะไม่นึกว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ในเกม และชวนให้เราตั้งคำถามต่อว่าเกมสมัยนี้ให้ค่ากับงานออกแบบศิลป์หรืองานครีเอทีฟน้อยไปรึเปล่า? เหตุใดผลงานที่ชวนให้ประทับใจจนตราตรึงมันจึงมีไม่มากไม่มายเมื่อเทียบกับปริมาณของเกมในภาพรวม

Split Fiction

ขณะที่เสียงพากย์ในเกมก็ทำได้ดี 2 ตัวเอกไม่มีอะไรให้ติติง แต่จุดเด่นของเกมคือการเลือกใช้เพลงประกอบได้ถูกจังหวะมากกว่า ในหลายๆ ครั้งมันบิลด์ หลายๆ ครั้งมันเร้า หลายๆ ครั้งก็ส่งเสริมให้ฉากที่น่าประทับใจอยู่แล้วกลายเป็นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แม้สุดท้ายอาจจะไม่ได้มีเพลงที่รู้สึกว่าติดหูคุ้นหูขนาดนั้น แต่ในหลากหลายสถานการณ์ เพลงของมันก็ช่วยให้ Split Fiction กลายเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย

เกมเพลย์

สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดของ Split Fiction คือความ Variety อุดมไปด้วยความหลากหลายของเกมเพลย์ในรูปแบบต่างๆ บนพื้นฐานของการเป็นเกมแนวผจญภัย Co-op คือมันไม่ใช่แค่เยอะ แต่ยังเต็มไปด้วยไอเดียและลูกเล่นที่ถูกคิดออกมาอย่างดีว่าจะทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นร่วมกันได้อย่างสนุกสนานอย่างไร Hazelight Studios ยังคงตอกย้ำความเป็นเต้ยด้านเกมแนว Co-op แบบช่วยกันเล่น คุณอาจจะบอกได้ว่าก็เขาทำเกมแนวๆ นี้อยู่เจ้าเดียว แต่เรารู้สึกได้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่ทีมงานจะดีไซน์ให้เกมออกมามีทั้งความลงตัวกลมกล่อมด้านเกมเพลย์, ความอลังการด้านงานภาพ, รวมไปถึงความสร้างสรรค์ในแง่ของกิมมิคเฉพาะฉากนั้นๆ ลามไปถึงลูกเล่นของมุมกล้องหรือแม้กระทั่งเส้นแบ่งจอก็ยังทำอะไรได้มากกว่าแค่กั้นมุมมองของผู้เล่นจากกัน แถมทั้งหมดทั้งมวลนั้นหลายๆ ครั้งก็เกิดขึ้นพร้อมกันในซีนเดียว ซึ่งมันเกินเลยคำว่ายอดเยี่ยมสู่ความบ้าคลั่งอันน่าประทับใจไปแล้ว

Split Fiction

ด้วยความที่ Split Fiction นั้นเล่าถึงนักเขียน 2 คนที่เขียนงานกันคนละแนว ทำให้ผู้เล่นจะได้เจอกับฉากใน 2 ธีมที่สลับกันไปมาตลอดเกม และแม้บางฉากอาจจะมีธีมใกล้ๆ กัน แต่ก็จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว มันจะมีเนื้อเรื่อง, เป้าประสงค์, รวมถึงลูกเล่นเฉพาะต่างกันอยู่ดี นอกจากนี้อ้างอิงจากคนเราเวลาเขียนนิยายเรื่องยาวๆ ออกมา บางครั้งก็จะนึกครึ้มอยากเขียนเรื่องสั้น, นิทานง่ายๆ หรือพล็อตทดลองบางอย่างที่คิดไม่เสร็จดี ตัวเกมก็จับเอาตรงนี้มาทำเป็นลักษณะเหมือนเควสต์รองที่ถูกเรียกว่า Side Story ครับ ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องเล่นก็ได้ แต่ผมบอกเลยว่าอันนี้คือโคตรจะทีเด็ด!

เพราะ Side Story จะเป็นอะไรที่หลุดจากธีมหลักไปแบบสิ้นเชิง เนื้อเรื่อง, เกมเพลย์, ฉาก, หรือเรื่องราว เป็นส่วนที่ทีมงานจะได้โชว์ความสร้างสรรค์กันอย่างเต็มที่ บ้างน่าประทับใจ บ้างก็หลุดจนบ้าบอ ปฏิเสธไม่ได้ว่า Side Story เข้ามาช่วยตัดเลี่ยนเกมเพลย์หลักได้พอเหมาะและถูกจังหวะ พร้อมกับไซส์ขนาดพอดีๆ เล่นไม่นานจนเกินไป (แต่บางฉากก็อยากจะเล่นต่อโคตรๆ) ย้ำอีกครั้งว่าคุณอาจไม่จำเป็นต้องเล่นก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณไม่เล่น คุณจะพลาด 1 ในส่วนที่ดีที่สุดของเกมไปเลย

Split Fiction

ขอยกตัวอย่างฉากที่น่าประทับใจของ Side Story มาเล็กน้อยครับ มันเป็นฉากของ Zoe ในห้วงความคิดที่อยากเขียนนิทานง่ายๆ ในวัยเด็ก เธอพยายามลองแต่งเรื่องของ 2 ผู้กล้าที่จะไปช่วยเจ้าชายที่ถูกจับไป ความเด็ดดวงของฉากนี้คือการนำเสนอมุมมองแบบ 2D Platformer พร้อมงานกราฟิกลายเส้นดินสอขาวดำและฉากทั้งหมดเป็นเหมือนหน้ากระดาษที่ Zoe พยายามใส่ไอเดียแบบสดๆ ลงไป บ้างก็ต้องแต่งเติม บ้างก็ลบออก ทำให้ฉากที่เขียนด้วยดินสอถูกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก่อนจะนำพาไปสู่บทสรุปง่ายๆ แต่งานภาพและการนำเสนอภาพรวมคือกินใจสุดๆ ไปเลย คือแค่ฉากนี้ฉากเดียวเราก็รู้สึกถึงความสร้างสรรค์และบ้าพลังของทีมงานที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้นแล้ว และยังมีอีกหลายๆ ฉากที่เอเนอร์จี้ใกล้เคียงกันอีกด้วย

นอกจากนี้เพราะความที่ต้องนำเสนอเรื่องราวและฉากซีนในธีมของนิยาย เราจึงได้เห็นการทำฉากพาโรดี้ของสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะจากหนัง จากเกม หรือกระทั่งนิทานมาอยู่ในเกมได้อย่างน่าสนใจ ใครเสพย์สื่อมาเยอะหน่อยก็จะเก็ตกันได้ไวครับ ถ้าคุณผ่านไปเจอฉากต่างๆ แล้วคิดว่าเกมกำลังพาโรดี้สิ่งนี้อยู่รึเปล่านะ? เปอร์เซ็นต์ใช่คือสูงมาก เพราะเขาพาโรดี้กันแบบโต้งๆ ไม่มีเม้มนี่แหละ

Split Fiction

สิ่งที่อาจจะนับเป็นข้อเสียสำหรับเกมได้บ้างก็คงเป็นเรื่องของการที่ต้องหาอีกคนมาเล่นด้วยนั่นแหละครับ โชคดีที่ตัวเกมสามารถเปิดให้หาเพื่อนมาเล่นเกมแบบข้ามแพลตฟอร์มกันได้ หรือคนที่จะมาเล่นด้วยก็ไม่จำเป็นต้องมีเกมในครอบครองเสมอไป ก็เป็นความแฟร์อย่างหนึ่งของเกมครับ และเอาเข้าจริงก็คงไม่น่านับเป็นข้อเสียสักเท่าไหร่ ในเมื่อเกมถูกสร้างมาด้วยพื้นฐานของการเล่น Co-op ด้วยกัน 2 คนตั้งแต่แรก

ซึ่งหากจะนับหาสิ่งที่เป็นข้อเสียจริงๆ ตลอดการเล่นคือผมเจอบั๊คติดอยู่ในอ๊อบเจคไป 1 ครั้งถ้วนครับ และถ้าต้องพูดในแนวหาเรื่องติลงไปอีกหน่อย ก็ต้องบอกว่าฉากบางครั้งก็มีความกว้างแต่ไม่มีรางวัลอะไรให้กับคนที่ออกสำรวจทุกซอกมุมมากนัก เพราะนอกจาก Side Story แล้วเกมก็ไม่มีอะไรให้ไล่เก็บสะสมเลย แต่สุดท้ายหากคุณมองว่ามันเป็นเกมผจญภัยไม่ใช่แอ็คชั่นหรือ RPG ข้อเสียนี้ก็อาจไม่ได้เป็นประเด็นอะไรมากนักครับ

Split Fiction

สรุป

หากให้สรุปง่ายๆ Split Fiction คือเกมที่นำเสนอความเป็นตัวเองได้ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหลายปี มันคืองานที่ให้ความรู้สึกว่าทีมงานภูมิใจนำเสนอตลอดเกม ไม่ประนีประนอมด้านไอเดีย ยืนกรานในความเป็นตัวเอง ไม่ตกหล่นหรือลืมบอกเล่าอะไรไประหว่างทาง ทุกอย่างครบถ้วนกระบวนความใน 15-20 ชั่วโมง และจบอย่างบริบูรณ์ไม่เหลือสิ่งค้างคาใจ แต่ถ้ามีอะไรอยากเล่าต่อก็มีทางให้ไปไม่มีใครขัด

ทีมงาน Hazelight Studios และ Josef Fares พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งถึงอัจฉริยะภาพในด้านการสร้างเกมแนวนี้ รวมไปถึงความบ้าพลังใส่สุดในทุกไอเดียที่คิดออกเข้าไปในเกมชนิดที่ไม่มีเหลือกั๊กไปเผื่อใช้สำหรับงานเกมหน้าแม้แต่น้อย และความเต็มที่เต็มกราฟนับร้อยตีนถีบนี้เองคือเหตุผลว่าทำไม Split Fiction จึงเป็นอีกหนึ่งผลงานเกมที่เพียบพร้อม และเราสามารถมอบคำว่า “สมบูรณ์แบบ” ให้กับมันได้อย่างไม่ขัดเขินครับ

Split Fiction

VERDICT
9.5/10

ป.ล. ผมเล่น Split Fiction กับภรรยาที่ไม่มีประสบการณ์กับเครื่อง PS5 หรือการเล่นเกมคอนโซลมาก่อน แม้ช่วงแรกเจ้าหล่อนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคอนโทรลเลอร์ แต่สุดท้ายก็เข็นกันจนจบได้ เป็นการการันตีว่าเกมนี้ทุกๆ คนสามารถสนุกสนานกับมันได้ ขอแค่ทำหัวให้โล่ง มีจิตใจที่เยือกเย็น และให้อภัยกับความผิดพลาดของกันและกันได้อย่างเพียงพอ ก็จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีของการเล่นเกมร่วมกันขึ้นมาได้แน่นอน ขอให้ทุกๆ คนสนุกกับเกมครับ

Split Fiction มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 6 มีนาคมนี้บน PS5, Xbox Series และ PC ครับ


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้