ในงาน CEDEC+KYUSHU 2024 ซึ่งเป็นงานประชุมของเหล่านักพัฒนาเกมญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา คุณ Kazuhisa Wada ซึ่งเป็น Creative Producer ของเกมในซีรีส์ Shin Megami Tensei: Persona จากค่าย Atlus ได้พูดคุยถึงแง่มุมประเด็นต่าง ๆ ในการพัฒนาเกม ซึ่งเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือความแตกต่างระหว่างการพัฒนาเกมในซีรีส์นี้ในอดีตและปัจจุบัน
โดยคุณ Wada อธิบายว่าเกม Persona 3 นั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนของทั้งซีรีส์เกม Persona และค่านิยมของ Atlus ในฐานะผู้พัฒนาเกมด้วย โดยก่อนหน้านั้น Atlus มีค่านิยมที่คุณ Wada ตั้งชื่อเล่น ๆ ว่า “Only One” (เน้นเพียงกลุ่มเดียว) ซึ่งเป็นการสร้างเกมที่มีความหมองหม่น มีความกระทบกระเทือนจิตใจ เน้นคติทำเกมเฉพาะกลุ่ม “ถ้าชอบก็ชอบไปเลย ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย”
คุณ Wada เองก็ยอมรับว่านโยบายดังกล่าวนั้นดึงดูดให้เขาอยากเข้ามาทำงานที่ Atlus และยังบอกด้วยว่าวัฒนธรรมองค์กรในตอนนั้นไม่สนับสนุนให้กังวลเลยด้วยซ้ำว่าเกมจะขายได้หรือไม่ ถ้ากังวลถือว่า “ไม่คูล”
ทว่าหลังจากที่วางขายเกม Persona 3 ค่านิยมของ Atlus ก็เปลี่ยนไป จากเดิมสร้างเกมด้วยนโยบาย “Only One” ก็เปลี่ยนมาเป็น “Unique & Universal” เน้นสร้างเกมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็เข้าถึงได้ หรืออีกนัยนึงคือ Atlus เริ่มคิดสร้างเกมที่ “ขายได้” (Marketable) และขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้เล่นเข้าใจได้ง่ายและสนุกสนานด้วยนั่นเอง
ทั้งนี้คุณ Wada อธิบายเพิ่มเติมว่าวิธีสร้างเกมของ Atlus นั้นเปรียบเสมือนการมอบ “ยาพิษร้ายแรงที่ห่อมาในรูปของขนมหวาน” ให้แก่ผู้เล่น ซึ่งยาพิษในที่นี้คือเนื้อหาที่ยังคงเอกลักษณ์ความรุนแรงกระทบกระเทือนจิตใจสไตล์ Atlus แต่ห่อให้อยู่ในรูปขนมหวานล่อตาล่อใจ ออกแบบโฉบเฉี่ยวอย่างมีสไตล์และมีตัวละครที่ดึงดูดคนหมู่มากได้ ซึ่งแนวทาง “Unique & Universal” นี้เอง Atlus ตั้งใจจะใช้สำหรับเกมซีรีส์ Persona ต่อ ๆ ไปในอนาคตด้วย
หากดูจากยอดขายของเกมในซีรีส์ Persona และ Metaphor: ReFantazio และจากที่ Sega เคยกล่าวไว้ว่า Atlus นั้นถือเป็นบริษัทในเครือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยซื้อมา ก็คงพูดได้ว่าแนวทางดังกล่าวของ Atlus นั้นได้ผลจริง ๆ
แปลและเรียบเรียงจาก
Automaton Media
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station