เมื่อพูดถึงเกม Clock Tower เชื่อว่าเกมเมอร์ที่เกิดทันและเคยเล่นมาอย่างน้อย 1 ภาค ปัจจุบันคงน่าจะอายุเลข 3 หรือเลข 4 กันหมดแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียดายที่เกมซีรีส์นี้มีอายุสั้นไปหน่อย ที่ว่าสั้นนี้ไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องมันจบไวแต่อย่างใดนะครับ หากแต่ด้วยปัญหาจุกจิกภายในรุมเร้ารอบด้าน เลยทำให้ตัวเกมมีออกมาเพียงแค่ 4 ภาค หรือถ้านับระยะห่างตั้งแต่วันวางจำหน่ายภาคแรกจนถึงภาคล่าสุดจึงอยู่ที่ประมาณ 7 ปีเศษเท่านั้น
Clock Tower ซีรีส์เกมสยองขวัญ
จากที่เกริ่นไปว่าซีรีส์นี้มีวางจำหน่ายมาแล้วทั้งสิ้น 4 ภาค ดังนั้นในบทความนี้เราจะพาเพื่อน ๆ มารู้จักกับเกมทั้ง 4 ภาค และเล่าถึงความเป็นไปของซีรีส์นี้ผ่านตัวเกมแต่ละภาคกันครับ
Clock Tower
- แรกเริ่มเดิมที ตัวเกม Clock Tower มีรูปแบบเกมเพลย์เป็นแนว Point and Click ที่ผู้เล่นจะต้องเลื่อนเคอร์เซอร์หรือลูกศรในฉากไปชี้ที่วัตถุภายในฉาก เพื่อให้เจนนิเฟอร์กระทำสิ่งต่าง ๆ กับวัตถุเหล่านั้น เช่นชี้ที่ประตูแล้วกดปุ่มแอ๊กชั่น จะเป็นการสั่งให้เจนนิเฟอร์เปิด-ปิดประตู หรือการชี้ที่สวิตช์ไฟแล้วกดปุ่มแอ๊กชั่น ก็จะเป็นการสั่งให้เจนนิเฟอร์เปิด-ปิดไฟในห้อง เป็นต้น ซึ่งเกมแนว Point and Click ค่อนข้างเป็นที่นิยมในยุคนั้น เพราะการออกแอ๊กชั่นของตัวละครจะไม่มีความซับซ้อนมากนัก กระทั่งพอเทคโนโลยีการพัฒนาเกมก้าวหน้าไปตามกาลเวลา เกมต่าง ๆ สามารถใส่ระบบแอ๊กชั่นเข้ามาเป็นแกนหลัก ตัวละครสามารถทำอะไรได้หลากหลายและแนวเกมก็เข้าถึงผู้เล่นได้มากกว่า จึงทำให้เกมแนว Point and Click เสื่อมความนิยมลง และ ณ ปัจจุบันจะพบเห็นเกมสไตล์นี้อยู่บนแพลตฟอร์มมือถือเสียเป็นส่วนใหญ่แทน
- คุณฮิฟุมิ โคโนะ (Hifumi Kono) ผู้ให้กำเนิดเกมซีรีส์นี้เริ่มบทบาทการพัฒนาเกมภาคแรกในฐานะผู้กำกับ และเจ้าตัวนั้นชื่นชอบภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง Phenomena ซึ่งเป็นผลงานการกำกับโดยคุณดาริโอ อาร์เจนโต (Dario Argento) โดยเฉพาะเรื่อง Phenomena นี้จะมีองค์ประกอบในเรื่องที่ถูกนำไปใช้เกมหลายจุดด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ชื่อของเจนนิเฟอร์ ซิมป์สัน (Jennifer Simpson) ตัวเอกของเกมที่ดึงมาจากชื่อของ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ (Jennifer Connelly) นักแสดงนำจากเรื่องดังกล่าว และตัวร้ายของภาพยนตร์ Phenomena ก็เป็นเด็กฆาตกรผู้มีรูปลักษณ์พิกลพิการกับแม่เด็กที่มีอาการป่วยทางจิต คล้ายกับบ๊อบบี้กับแมรี่ในเกมนั่นเอง
- เรื่องราวของเกมภาคแรกจะกล่าวถึง เจนนิเฟอร์ ซิมป์สัน เด็กสาวจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแกรนิต ที่อยู่ในย่านรอมส์ดาล ประเทศนอร์เวย์ โดยเธอพร้อมกับเพื่อน ๆ อีก 3 คน ได้แก่ ลอร่า, แอนน์ และ ล็อตเต้ ได้ถูกรับอุปการะโดยเศรษฐีนามว่า ไซม่อน แบร์โรวส์ ในช่วงเดือนกันยายนปี 1995 ซึ่งตระกูลแบร์โร่วส์เป็นเจ้าของคฤหาสน์ขนาดมหึมาที่มีชื่อว่า Clock Tower และมี แมรี่ แบร์โรวส์ คนจากตระกูลดังกล่าวเป็นผู้พากลุ่มของเจนนิเฟอร์เดินทางมายังคฤหาสน์แห่งนี้
- เกมจะเริ่มขึ้นเมื่อพวกเจนนิเฟอร์มาถึงห้องรับรองของคฤหาสน์ โดยแมรี่ได้ขอตัวออกไปพบกับไซม่อนก่อน แต่เจนนิเฟอร์และเพื่อน ๆ พบว่าแมรี่ได้หายไปนานจนผิดสังเกต เธอเลยตัดสินใจออกไปตามหาแมรี่ด้วยตนเอง ทว่าเพียงแค่เจนนิเฟอร์ก้าวออกมาจากห้องรับรองได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากกลุ่มเพื่อน ๆ ในห้อง พอกลับไปดูก็พบว่าเพื่อนของเธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เจนนิเฟอร์จึงต้องออกตามหาเพื่อน ๆ ทุกคนตามลำพัง ท่ามกลางคฤหาสน์ที่มีบรรยากาศชวนขนหัวลุก ก่อนจะพบว่าวายร้ายตัวหลักที่จ้องเล่นงานเธออยู่ก็คือ บ๊อบบี้ ชายร่างเด็กที่ถือกรรไกรขนาดใหญ่นั่นเอง
- ฉากจบของเกมภาคแรกนี้จะมีทั้งหมด 9 แบบด้วยกัน คือไล่มาตั้งแต่แย่สุดคือแรงค์ H และดีสุดคือแรงค์ S ซึ่งฉากจบแรงค์ D-H จะเป็นฉากจบแบบที่เราตาย ส่วนฉากจบ A-C จะเป็นฉากจบแบบที่เจนนิเฟอร์รอดเพียงคนเดียว และฉากจบ S คือฉากจบสมบูรณ์ที่สุด โดยจะมีเพื่อนอีกคนรอดมาพร้อมเจนนิเฟอร์ด้วย คือแอนน์หรือลอร่า ซึ่งจะผันแปรตามเส้นทางการดำเนินเรื่องที่เราเลือกระหว่างเกม (เลือกให้รอดได้แค่คนใดคนหนึ่ง)
- แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เกมภาคแรก รวมถึง The First Fear ที่เป็นเวอร์ชั่นพอร์ตลง PS1 และเป็นเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุด กลับไม่ได้มีการวางจำหน่ายนอกประเทศญี่ปุ่นครับ แต่อย่างไรก็ตามก็มีแฟน ๆ ที่ชื่นชอบเกมนี้ได้ทำแฟนซับของเวอร์ชั่น Super Famicom ให้ได้เล่นกันบน Emulator โดยมีให้เลือกเล่นหลายภาษาด้วยกัน อาทิ อังกฤษ, ตุรกี, รัสเซีย, โปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ เกาหลี ในขณะที่เวอร์ชั่น PS1 ก็มีแฟนซับเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษด้วย
Clock Tower 2
- ด้วยความที่ตัวเกมภาคแรกนั้นไม่เคยวางจำหน่ายนอกประเทศญี่ปุ่นมาก่อน ดังนั้นตัวเกมภาคนี้เลยถูกนับเป็นภาคแรกของฝั่งตะวันตกแทน ใครที่เล่นภาคนี้เป็นภาคแรกอาจจะมีงงกับความเป็นมาของเจนนิเฟอร์อยู่บ้าง เพราะเป็นไทม์ไลน์หลังจากภาคแรกประมาณ 1 ปีเลย และยังใช้รูปแบบเกมเพลย์เป็น Point and Click เหมือนภาคก่อนหน้าด้วย
- สำหรับในภาค 2 นี้เป็นการเล่าถึงเจนนิเฟอร์ที่เข้ารับการบำบัดด้านจิตใจ จากเหตุการณ์ที่เธอรอดตายอย่างหวุดหวิดจากคฤหาสน์แบร์โรวส์เมื่อปีก่อน แต่ฝันร้ายนั้นก็ยังคงไม่เลือนหายไป เพราะมนุษย์กรรไกรคนใหม่ได้ปรากฏตัวมาตามล่าเจนนิเฟอร์และคนรอบตัวเพื่อหวังล้างแค้นให้สำเร็จ
- ภาคนี้มีการแบ่งบทออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ บทนำ (Prologue) และบทที่ 1-3 โดยบทที่ 1-3 นั้นเราจะได้เล่นเป็นตัวละครที่แตกต่างกัน ผันแปรตามการกระทำของเราในบทก่อนหน้า ซึ่งนอกจากเจนนิเฟอร์แล้วก็จะมีตัวละครหลักอีกคนคือ เฮเลน แม็กซ์เวลล์ (Helen Maxwell) ที่เป็นผู้อุปการะรับเลี้ยงเจนนิเฟอร์ โดยเฮเลนเองก็เป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของอาชญากรที่คอยช่วยบำบัดฟื้นฟูจิตใจให้กับเจนนิเฟอร์ด้วยเช่นกัน
- ฉากจบของภาค 2 จะมีทั้งหมด 10 แบบ แบ่งเป็นของเจนนิเฟอร์และเฮเลนคนละ 5 ฉากจบ ถ้าพูดถึงด้านกระแสความนิยมถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ด้วยยอดขายประมาณ 5 แสนชุด ทั้งที่ตอนแรกนั้น คุณฮิฟุมิ โคโนะ ที่เป็นผู้กำกับไม่ได้มีความคิดที่จะทำภาคต่อของเกม Clock Tower เลย ทว่าเกิดเปลี่ยนใจในเวลาต่อมา หลังจากที่เขามองเห็นโอกาสในการพัฒนาเกมนี้ลงบนเครื่อง PS1 ที่สามารถรันกราฟิกแบบ 3D ได้ กอปรกับมีเกม Resident Evil ภาคแรกเคยเป็นใบเบิกทางให้คนรู้จักเกมแนวสยองขวัญมากขึ้น จึงเกิดโปรเจกต์พัฒนาเกมภาค 2 ในที่สุด
- อย่างไรก็ตาม ภาคนี้ถือเป็นภาคส่งท้ายเรื่องราวของเจนนิเฟอร์ ก่อนที่อีก 2 ภาคถัดมาจะไปเล่าเรื่องราวของตัวละครอื่นแทนครับ
Clock Tower: Ghost Head
- นี่เป็นภาคสุดท้ายที่พัฒนาโดยบริษัท Human Entertainment ก่อนที่จะประสบภาวะล้มละลายและปิดตัวไป กระทั่งมีบริษัท Sunsoft ซื้อสิทธิ์ในการพัฒนาเกมนี้ไป และไปติดต่อกับทาง Capcom เพื่อช่วยพัฒนาจนมีภาคต่อคือ Clock Tower 3 ในภายหลัง
- ภาคนี้มีชื่อเต็ม ๆ สำหรับจำหน่ายนอกประเทศญี่ปุ่นว่า Clock Tower II: The Struggle Within ซึ่งหากนับจำนวนภาคจริง ๆ สำหรับเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ภาคนี้ถือเป็นภาคที่ 3 ที่มีการวางจำหน่ายออกมาครับ แม้ว่าเนื้อเรื่องภาคนี้จะไม่เกี่ยวกับสองภาคแรกก็ตาม ส่วนสาเหตุที่ภาคนี้เป็นภาคที่ 2 ของทางฝั่งตะวันตก นั่นก็เพราะ Clock Tower ภาคแรกที่ลงครั้งแรกบนเครื่อง Super Famicom เมื่อปี 1995 มีจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น
- สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้มาตั้งแต่ภาคแรกก็คือ การที่มีฉากจบอยู่มากมายหลายแบบ โดยขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่นที่ส่งผลกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นเดียวกับภาคนี้ที่มีฉากจบถึง 13 แบบด้วยกัน (ตั้งแต่ Ending A ที่เป็นฉากจบที่ดีที่สุด จนถึง Ending M ที่เป็นฉากจบที่แย่ที่สุด) ขณะที่รูปแบบเกมเพลย์ก็ยังเป็น Point and Click เช่นเคย
- เนื้อเรื่องของภาค The Struggle Within จะกล่าวถึง อลิซซ่า เฮล (Alyssa Hale) เด็กหญิงกำพร้าวัย 17 ที่มีอาการคล้ายกับคนสองบุคลิก โดยอีกด้านหนึ่งของเธอจะเป็นชายนามว่า เบตส์ (Bates) ที่เป็นคนร้ายกาจและเลือดเย็น แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอสวมเครื่องรางที่ได้รับมาจากพ่อ บุคลิกของเบตส์ก็จะไม่แสดงออกมา ทว่าด้วยความที่อลิซซ่ามีลักษณะอาการดังกล่าว ทำให้เธอเคยต้องถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลประสาทมาก่อน และแล้วเหตุการณ์เลวร้ายก็เริ่มเกิดขึ้นในวันที่เธอออกจากโรงพยาบาลพอดี โดยฟิลิปและแคธริน สองสามีภรรยาที่รับอลิซซ่ามาอุปการะ ได้รออลิซซ่ากลับมาบ้านเพื่อใช้เวลาช่วงหยุดสุดสัปดาห์ด้วยกัน แต่พอเมื่ออลิซซ่ากลับมาถึงบ้านในตอนกลางดึกกลับไม่พบใคร เธอจึงต้องออกค้นหาลุงและป้าบุญธรรม พร้อมกับสืบสาวความจริงของเรื่องราวดังกล่าว และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสยองขวัญในภาคนี้ครับ
- อีกหนึ่งประเด็นชวนปวดหัวของแฟนซีรีส์นี้คือ ภาค The Struggle Within ดันมีการเปลี่ยนชื่อตัวละครจากภาค Ghost Head แทบทั้งหมด โดยชื่อตัวละครใน The Struggle Within จะมีการเปลี่ยนเป็นชื่อเหมือนคนสัญชาติตะวันตกกันเกือบทุกคน แถมโลเคชั่นใน Ghost Head เกิดขึ้นในโอซาก้า แต่ใน Struggle Within ก็เปลี่ยนมาเป็นรัฐแคลิฟอร์เนียแทน เรียกว่าให้ความรู้สึกเหมือนเล่นกันคนละเกมก็ไม่เชิงนัก โดยชื่อของตัวละครแต่ละคนมีการเปลี่ยนไปดังนี้ครับ
ยู มิโดชิมะ / อลิซซ่า เฮล
ฟุชิโตะ ไซโดะ / จอร์จ แม็กซ์เวลล์
ทาคาชิ มิโดชิมะ / อัลเลน เฮล
ฮาจิเมะ ทาคาโนะ / ฟิลิป เทต
ยาโยอิ ทาคาโนะ / แคธริน เทต
อาคิโยะ ทาคาโนะ / แอชลีย์ เทต
จินัทสึ ทาคาโนะ / สเตฟานี เทต
ฮิโตชิ อิชิซึเอะ / อเล็กซ์ คอรีย์
วาตารุ โกโมโตะ / ดั๊ก โบว์แมน
อัทสึมิ คิชิ / เจสสิก้า คุก
ทัตสึชิ อุโระ / เฮนรี่ แคปแลน
ฟุจิกะ / แชนนอน ลูอิส
Clock Tower 3
- หลังจากที่ Human Entertainment มีอันต้องปิดตัวลงจากภาวะล้มละลายในช่วงต้นปี 2000 ทางบริษัท Sunsoft ก็ได้ซื้อสิทธิ์ในตัวเกม Clock Tower ไปนับแต่นั้น และพวกเขาก็ได้ไปทาบทามทาง Capcom ที่เป็นค่ายที่ชำนาญในการทำเกมแนวแอ๊กชั่นมาช่วยพัฒนาเกม Clock Tower 3 ซึ่งสาเหตุที่ภาค 3 มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวจาก Point and Click เดิมมาเป็นการเน้นแอ๊กชั่นมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าแนวแอ๊กชั่นสามารถเข้าถึงผู้เล่นได้มากกว่า รวมถึงการเสื่อมความนิยมของแนว Point and Click ที่ถดถอยอย่างมีนัยตั้งแต่เข้าเจน PS2 เป็นต้นมา
- เนื้อหาของเกมภาคนี้จะเล่าถึง อลิซซ่า แฮมิลตัน (Alyssa Hamilton) สาวน้อยวัย 14 ที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลนักรบหญิงผู้มีความสามารถในการเดินทางข้ามเวลาเพื่อปราบวิญญาณร้าย และเหตุการณ์ในเกมก็นำพาเธอท่องเวลาจากกรุงลอนดอนปี 2003 มายังช่วงยุค 1940-1960 เพื่อกำจัดเหล่าปีศาจและคืนความสุขให้กับวิญญาณที่ไม่อาจไปผุดไปเกิดได้
- ทางด้านคุณฮิฟุมิ โคโนะ อดีตผู้กำกับ Clock Tower ภาค 1 และ 2 หลังจากที่ค่ายเกมต้นสังกัดปิดตัวไป เขาก็ได้ออกไปตั้งสตูดิโอใหม่ที่มีชื่อว่า Nude Maker แล้วเปิดโครงการระดมทุนเพื่อพัฒนาเกม NightCry ที่เป็นแนวสยองขวัญสไตล์ Point and Click แต่สิ่งที่คุณโคโนะอาจจะประเมินผิดไปก็คือเกมแนว Point and Click ณ เวลานั้นมันล้าสมัยเกินไปแล้วกับการทำลงแพลตฟอร์มใหญ่ พอเกมวางขายปุ๊บ คะแนนรีวิวเฉลี่ยเลยป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ 2/10 เท่านั้น ด้วยคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ที่บอกว่าเกมเพลย์มันโบราณเกินไปนั่นเอง
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station