เกม The Last of Us นั้นถือเป็นหนึ่งในเกมเรือธงของฝั่ง PlayStation ที่มีอายุมานานถึง 9 ปี แต่เชื่อหรือไม่ครับว่าตลอด 9 ปีมานี้ซีรีส์ดังกล่าวเพิ่งจะมีให้เล่นเพียง 2 ภาคเท่านั้น ซึ่งตัวเกมภาคแรกเคยสร้างปรากฏการณ์เอาไว้มากมายทั้งในแง่ความนิยมและเสียงวิจารณ์ว่าเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องกินใจผู้เล่น เคล้าดราม่าอัดแน่น และเกมเพลย์ที่เล่นได้เพลินตลอดทั้งเกม การันตีด้วยรางวัลเกมยอดเยี่ยมจากสำนักข่าวเกมชื่อดังและงานประกาศผลมาแล้วกว่า 200 รางวัล
หลังวางขายบน PS3 มาได้เพียงปีเดียว ตัวเกมก็ถูกนำมารีมาสเตอร์ลง PS4 และด้วยขุมพลังของฮาร์ดแวร์ที่แรงกว่า ผู้เล่นจึงได้รับประสบการณ์การเล่นที่ดีขึ้นทั้งด้านเฟรมเรตและกราฟิก กระทั่ง Naughty Dog ตัดสินใจหยิบเกมนี้มารีเมคใหม่อีกครั้งให้ได้เล่นกันในปีนี้ ทว่าการรีเมคจะเป็นการยกระดับจากเวอร์ชั่นดั้งเดิมได้มากน้อยแค่ไหน เรามาชมรีวิวกันเลยดีกว่า
(ทีมงาน Online Station ขอขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment สาขาประเทศสิงคโปร์ที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกม The Last of Us Part 1 เพื่อใช้ในการรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)
แพลตฟอร์ม: PS5, PC
ผู้พัฒนา: Naughty Dog
แนวเกม: แอ๊กชั่น-ผจญภัย
วางจำหน่าย: 2 กันยายน 2022 (PS5) / ในส่วนของ PC ยังไม่ระบุวันวางจำหน่าย
(ทีมงานรีวิวจากบนแพลตฟอร์ม PS5 และเล่นจนจบด้วยโหมด Performance)
เนื้อหาของเกมเป็นการเล่าเหตุการณ์ในยุคที่มนุษย์ต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ที่นำพาความล่มสลายอย่างสิ้นเชิงมาเป็นเวลานาน 20 ปี นับตั้งแต่เชื้อรามรณะแพร่ระบาดจนประชากรล้มตายไปค่อนโลก ซึ่ง โจเอล ตัวเอกของเกมที่หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็น “นักวิ่งของ” ผู้ได้รับภารกิจสำคัญนั่นก็คือการนำตัวเด็กสาวนามว่า เอลลี่ ไปส่งให้กับกลุ่มกบฎไฟเออร์ฟลายที่อยู่อีกฟากของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเอลลี่คนนี้จะเป็นกุญแจแห่งความหวังที่จะช่วยให้มวลมนุษยชาติรับมือกับเชื้อร้ายนี้ได้
อนึ่ง พล็อตเรื่องในเกม The Last of Us สำหรับใครที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นออริจินัลหรือรีมาสเตอร์ก็คงทราบกันดีว่ามันเกี่ยวกับความหวังและความรักระหว่างดูโอ้ต่างวัยคู่นี้ที่ก่อตัวขึ้นจากความสัมพันธ์ หลังร่วมผจญภัยกันมานานแรมปี เสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วน และด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องอันลุ่มลึกของเกมที่เต็มไปด้วยชั้นเชิง นั่นเลยทำให้ผู้เล่นสามารถอินและอยากลุ้นเอาใจช่วยให้ทั้งโจลกับเอลลี่เดินทางไปถึงที่หมายให้สำเร็จ
ทีนี้ ในส่วนของเวอร์ชั่นรีเมคจะมีการปั้นโมเดลตัวละครขึ้นมาใหม่ด้วยเอนจิ้นเดียวกับที่ใช้พัฒนาเกมภาค 2 รวมถึงมีการพัฒนาปรับปรุงในเรื่องของการแสดงสีหน้าและอารมณ์ให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น ซึ่งมันก็ส่งผลให้ตัวละครแทบทุกตัวในเกมดูมีมิติ ดูจับต้องได้เหมือนปุถุชนทั่วไป โดยเฉพาะโจเอลที่ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็นเขาเกือบจะตลอดทั้งเกม คือจริงอยู่ที่ใคร ๆ ต่างก็อยากลุ้นให้โจเอลพาเอลลี่ไปส่งให้ถึงฝั่ง แต่ตัวของโจลเองก็มีอดีตอันดำมืดและมักจะเลือกแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยวิธีที่สุดขั้วอยู่เป็นประจำ พอผสมผสานกับการสื่ออารมณ์ผ่านสีหน้าตัวละครที่ผ่านการขัดเกลาในเวอร์ชั่นรีเมค เกมเลยสามารถทำให้ผู้เล่นหันมาตั้งคำถามกับตัวละครโจเอลระหว่างเล่นได้ว่า สรุปแล้วคนคนนี้เป็นคนดี เป็นฮีโร่ที่สมกับการเป็นพระเอก หรือเป็นเพียงคนเทา ๆ ที่ทำสิ่งต่าง ๆ ตามแรงขับจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ขณะเดียวกัน เอลลี่กลับให้ความรู้สึกเป็นตัวเปรียบเทียบชั้นดีกับโจเอล เนื่องจากเธอแสดงออกถึงสามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่มากกว่า ภายในเกมเราจะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองถูกทดสอบด้วยอุปสรรคนานัปการอยู่เป็นระยะ ซึ่งความสัมพันธ์ลักษณะนี้เป็นไปในเชิงเสมือนพ่อกับลูกสาวที่คอยดูแลกันและกันไปตลอดทั้งเกม และเมื่อดำเนินเนื้อเรื่องในเกมไปเรื่อย ๆ ทั้งโจเอลกับเอลลี่ก็จะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกัน แต่ในเวอร์ชั่นรีเมคเราจะเห็นอากัปกิริยาที่สื่อถึงความห่วงใยที่ทั้งคู่มีให้กันได้ชัดเจนและสมบทบาทมากขึ้น ชนิดที่ว่าต่อให้เราเคยเล่นเกมนี้จบมาแล้วในเวอร์ชั่นเก่า พอได้มาเห็นหลาย ๆ ฉากคัทซีนอีกครั้งบนตัวรีเมคก็ยิ่งประทับใจกว่าเดิมกับการสื่อสารผ่านสีหน้าและสายตาที่สบกันด้วย
โลกในเกมเวอร์ชั่นรีเมคถูกเกลาและปรับปรุงจนสวยงามขึ้นแบบผิดหูผิดตา ไม่ว่าจะสถาปัตยกรรมของตึกรามบ้านช่องและวัตถุตามฉากที่เสื่อมสลาย ผุพัง ตลอดจนผู้คนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางโลกที่ไร้ความหวังมานานร่วม 2 ทศวรรษ ทุกซอกทุกมุมของงานภาพและแสงเงาเรียกได้ว่าต่างกับของเดิมแบบคนละเรื่องเลย เมื่อรวมกับเหตุผลด้านการพัฒนาของการแสดงสีหน้ากับอารมณ์ของตัวละครแล้ว นี่คือปัจจัยหลักที่ช่วยประกอบการตัดสินใจได้เป็นรูปธรรมที่สุดหากใครที่จะมองหาความแตกต่างระหว่างเวอร์ชั่นรีเมคกับเวอร์ชั่นต้นฉบับครับ
โหมดการแสดงผลภายในเกมจะมีให้เลือกปรับได้ว่าจะเน้นไปที่รีโซลูชั่นหรือเน้นเฟรมเรตลื่น ๆ นิ่ง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับทีวีหรือมอนิเตอร์ที่คุณใช้ หากใครใช้จอที่ระดับต่ำกว่า 4K ก็แนะนำเลยว่าให้เน้นเฟรมเรตไปดีกว่า ส่วนการเน้นรีโซลูชั่นจะมีเฟรมเรตที่เหวี่ยงอยู่บ้างในระดับน้อยถึงน้อยมาก ในจุดนี้ก็อยู่ที่เพื่อน ๆ จะเลือกกันตามความเหมาะสมเลย
โครงสร้างหลักของเกมเพลย์เกมนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่จะมีการเกลารายละเอียดปลีกย่อยของบางระบบให้ดูดีขึ้นพอสมควร อาทิ เปลี่ยนดีไซน์ของเมนูไอเทมกับการตรวจสอบของสะสมหรือไฟล์ที่หามาได้ให้ดูสวยงามแบบภาค 2 รวมทั้งฉากการอัปเกรดอาวุธต่าง ๆ ที่ถอดแบบมาจากภาค 2 เปี๊ยบ
นอกจากนั้นแล้ว ด้วยความที่ในเวอร์ชั่นต้นฉบับที่ลง PS3 จะมีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์อยู่ ทำให้เวลาเล่นในยุคนั้น ศัตรูจะปรากฏตัวในฉากได้มากสุด ณ คราวเดียวแค่ 8 คน และ AI ของศัตรูก็ทำอะไรได้ไม่หลากหลายนัก แต่ปัญหาเหล่านี้ได้หมดไปเป็นปลิดทิ้งบนเวอร์ชั่นรีเมคครับ โดยศัตรูที่จะปรากฏบนฉากในคราวเดียวจะมีมากขึ้นเกือบเท่าตัว พร้อมด้วยการปรับให้ AI มีความเกรี้ยวกราดกว่าเดิม ซึ่งพวกมันจะพยายามหาทางบุกเข้ามาโอบล้อมเรา แถมบ่อยครั้งก็มีการสื่อสารระหว่างกันเพื่อวางแผนกดดันเราด้วยหลาย ๆ วิธี เช่นแบ่งคนที่มีอาวุธระยะประชิดให้เข้ามาบวก ขณะที่คนที่มีอาวุธปืนก็จะวิ่งอ้อมเข้ามาจู่โจมทางด้านข้างหรือด้านหลังไปพร้อม ๆ กัน และถ้าเราเล่นในระดับความยากที่สูงขึ้น พวกมันก็จะใช้พฤติกรรมที่กล่าวมาบ่อยขึ้นตามไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เกมเวอร์ชั่นรีเมคยังมีการเข้าหาผู้เล่นที่ไม่สันทัดกับเกมแนวแอ๊กชั่นด้วยการเพิ่มตัวเลือกให้ปรับใน Option อีกมากมาย โดยจะปรับได้แม้กระทั่งการให้ศัตรูไม่สามารถเข้ามาล็อคคอเราได้ หรือเซ็ตให้ศัตรูไม่สามารถจับตัวละครที่ร่วมเดินทางกับเราในเวลานั้นก็ได้ด้วย รวมถึงการเพิ่มระบบช่วยเหลือผู้เล่นที่ด้อยโอกาสทางการได้ยินหรือการมองเห็น หรือต้องการเล่นเพื่อเสพเนื้อเรื่องล้วน ๆ แบบที่ไม่ต้องพะวงกับบทบู๊เลย ซึ่งมีทั้งโหมดปรับภาพเพื่อรองรับผู้เล่นที่ตาบอดสี หรือแม้แต่โหมดนำทางเพื่อตอบโจทย์ผู้เล่นที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทีมผู้พัฒนาที่ต้องการให้เกมมีความเป็นมิตรกับผู้เล่นทุกกลุ่มให้สามารถสนุกกับเกมนี้ได้ถ้วนหน้า
อย่างไรก็ตาม ระบบการคลานหรือซ่อนตัวในหญ้าที่ขึ้นสูงจะไม่มีในเวอร์ชั่นรีเมคครับ เนื่องจากระบบคลานเป็นการออกแบบมาเพื่อสอดรับกับเกมเพลย์ของภาค 2 แต่แรกอยู่แล้ว และก็รวมถึง Factions ที่เป็นโหมดมัลติเพลเยอร์ซึ่งไม่ถูกใส่มาในเวอร์ชั่นรีเมคด้วยเช่นกัน ฉะนั้นก็ไม่แปลกอะไรถ้าหากคนที่คิดจะเล่นโหมดมัลติเพลเยอร์จะไม่โอเคกับประเด็นนี้ เพราะโหมดดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการทำให้ผู้เล่นใช้เวลากับเกมนี้ได้นานกว่าโหมดเนื้อเรื่องแบบลิบลับนั่นเอง
ถัดมาขอพูดถึงเรื่องการประยุกต์ใช้อุปกรณ์เสริมของ PS5 ร่วมกับเกมบ้าง ตัวเกมมีการใช้ประโยชน์จากระบบ Haptic Feedback และ Adaptive Triggers ของจอย DualSense อย่างเต็มที่ ดังที่เคยกล่าวไปข้างต้นว่าการสื่ออารมณ์ผ่านสีหน้าตัวละครนั้นเป็นลูกเล่นที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นมาก แต่จอยก็ยังเพิ่มอรรถรสของการชมเนื้อเรื่องให้ผู้เล่นได้อีกขั้น ด้วยการเพิ่มมิติของการสั่นให้เข้ากับการพูดออกเสียงของตัวละครในเกม หากตัวละครพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จอยก็จะสั่นแบบหนึ่ง หรือถ้าตัวละครพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด การสั่นบนจอยก็จะแสดงผลอีกแบบ เป็นต้น ฟีเจอร์เหล่านี้มีผลอย่างมากที่ทำให้ทีมงานประทับใจและสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ และเสริมความสมจริงขณะเสพเนื้อเรื่องของเกม
ขณะเดียวกัน ระบบเสียง 3D Audio ก็ใช้งานได้ดีกับเกมเพลย์ในช่วงที่ต้องต่อสู้ โดยถ้าเล่นร่วมกับหูฟังที่รองรับกับระบบนี้จะช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นมากเวลาที่ต้องจับตำแหน่งของศัตรู อีกทั้งสามารถจำแนกระยะห่างระหว่างเรากับตัวศัตรูได้สะดวก ดังนั้นถ้าใครมีงบเหลือใช้ก็น่าลองจัดหูฟังที่รองรับ 3D Audio มาลองกันดูสักหน่อยแล้ว
คอนเทนต์ที่ปลดล็อคมาได้หลังจบเกมมีความน่าสนใจระดับหนึ่ง ซึ่งมีสกินเสื้อผ้าของโจเอลกับเอลลี่ อาร์ตเวิร์คเทียบกันชัด ๆ ระหว่างเกมตัวออริจินัลและรีเมค หรือแม้แต่การปรับให้โกงเกมนี้ได้ เช่น ยิงศัตรูนัดเดียวตาย ฯลฯ และถึงแม้ว่าจะไม่มีโหมดมัลติเพลเยอร์ในตัวรีเมคก็จริง แต่ก็มีการนำโหมดสำหรับผู้เล่นที่ชื่นชอบการทำชาเลนจ์อย่าง Permadeath และโหมดสปีดรันเข้ามาชดเชยให้เล็กน้อยครับ
เวอร์ชั่นรีเมคมีการเพิ่มซับไทย และคำอธิบายเมนูต่าง ๆ เป็นภาษาไทยเข้ามาให้เสร็จสรรพ แน่นอนครับว่าผู้เล่นทุกคนสามารถเข้าใจเรื่องราวในเกมได้อย่างถ่องแท้แบบออฟฟิเชียลกันได้แล้ว คุณภาพงานแปลถือว่าดีเลย แต่อาจจะมีพบเห็นการพิมพ์ตก พิมพ์ผิดอยู่นิดหน่อย อีกทั้งบางบริบทหรือบางสรรพนามอาจจะแปลแล้วรู้สึกดูแปร่ง ๆ ไปบ้าง ทว่าทั้งหมดทั้งมวลคาดว่าน่าจะมีเหตุผลมาจากข้อจำกัดของกระบวนการแปลซับที่นักแปลชาวไทยมักประสบกันเหมือนงานแปลซับเกมอื่น ๆ นั่นเอง
หนึ่งในประเด็นเป้ง ๆ ที่น่าจะอยู่ในใจของทุกคนที่เคยเล่นเกมนี้จบไปแล้วน่าจะหนีไม่พ้นคำถามที่ว่าเกมนี้คุ้มแล้วหรือไม่กับการต้องจ่ายราคาเต็มที่ 2,290 บาท ก็ต้องขอบอกกันตรง ๆ ครับว่าถ้าคุณไม่เคยเล่นเกม The Last of Us มาก่อนเลยแม้แต่เวอร์ชั่นเดียว ตัวรีเมคนี้จะเป็นเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุดที่จะมอบประสบการณ์ด้านเนื้อเรื่องและเกมเพลย์ของซิงเกิลเพลเยอร์แก่คุณแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ควรลองสัมผัสเกมนี้ดูสักครั้ง ซื้อไปยังไงก็คุ้ม
ในทางกลับกัน ถ้าสมมติว่าคุณเป็นหนึ่งในบรรดาคนหมู่มากที่เคยเล่นเกมนี้มาแล้วและชื่นชอบเกมนี้ด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าจะรอให้เกมลดราคาลงมาให้อยู่ในเกณฑ์น่ารัก ๆ กว่านี้หน่อยแล้วค่อยจัด เพราะแก่นหลักของเกมมันก็ยังเป็นเกมเดิมอยู่ ไดอาล็อกบทพูดก็ยังเป็นชุดเดิม เพียงแค่มีการปรับปรุงเรื่องกราฟิก โมเดลตัวละคร และเพิ่มฟีเจอร์หลายอย่างเข้ามาเท่านั้น แต่ถ้าความรักชอบที่คุณมีต่อเกมนี้มีมากพอที่จะไม่แคร์สิ่งที่กล่าวไปข้างต้น ก็ย่อมไม่ผิดเช่นกันที่ให้โอกาสเกมนี้อีกครั้งในราคา 2,290 บาทครับ
แถมทิ้งท้ายกับกรณีของคนที่หลงใหลการตามเก็บไอเทมจำพวก Collectible ต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในเกม เวอร์ชั่นรีเมคนี้จะมีการย้ายตำแหน่งของไอเทมบางชิ้นอย่างสร้อยคอไฟเออร์ฟลาย หรือตำราอัปเกรดอาวุธอยู่เล็กน้อย ซึ่งเท่าที่ทีมงานเล่นจนจบมาและไล่เก็บไอเทมเหล่านี้จนครบ พบว่ามีการย้ายตำแหน่งที่ซ่อนของไอเทมเหล่านี้แค่ 2-3 จุดหรือ 2-3 ชิ้นเท่านั้น โดยเป็นแค่การย้ายจุดซ่อนไอเทมมาอยู่อีกจุดที่ห่างกันไม่กี่ก้าว หรือบางชิ้นก็แค่ย้ายไปวางอีกที่ที่มองเห็นได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย ถ้าใครเป็นคนช่างสังเกตอยู่แล้วจะไม่มีปัญหากับเรื่องนี้เลย
ใครอยากชมรีวิวแบบคลิปของทางช่อง Online Station ก็จัดได้ที่ด้านล่างเลยครับ
จุดเด่น
- งานภาพและกราฟิกเป็นเลเวลเดียวกับภาค 2 โดยถูกแปลงโฉมจนชวนให้รู้สึกว่านี่คือเกมที่ผ่านการเจียระไนและเคารพต้นฉบับมาจนสุดแล้วจริง ๆ
- จำนวนศัตรูมีการเพิ่มในบางจุด ตลอดจนพฤติกรรมของพวกมันก็ถูกปรับแก้ให้โหดใส่เรามากขึ้น หรือแม้แต่การย้ายตำแหน่งของ Collectible บางชิ้นในเกม ซึ่งสร้างความท้าทายแก่ผู้เล่นยิ่งกว่าเดิม
- การแสดงสีหน้าของตัวละครในเวอร์ชั่นรีเมคเป็นความดีงามขั้นสุดยอด ทำให้บางไดอาล็อกในบางคัทซีนสามารถสื่อถึงอารมณ์ได้ดีขึ้น แน่นอนว่าผู้เล่นก็อินได้ง่ายขึ้นไปด้วย
- ตัวเกมมีการประยุกต์ใช้ฟังก์ชันของจอย DualSense และระบบเสียง 3D Audio ได้อย่างเต็มที่
- มีโหมดช่วยเหลือสำหรับผู้ด้อยโอกาสทางการได้ยินและการมองเห็น ที่ช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถสัมผัสกับความสนุกของเกมได้เฉกเช่นคนทั่วไป
- เนื้อเรื่องระดับคุณภาพ ซึ่งคนที่เคยเล่นมาก่อนและประทับใจมาแล้วย่อมเข้าใจดี
จุดด้อย
- แม้ตัวเกมจะมีการปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มฟีเจอร์มาหลายอย่างก็ตาม แต่แก่นของเกมก็ยังเป็นเกมเดิมที่หลายคนได้เล่นกันมาในปี 2013 (PS3) หรือปี 2014 (PS4) มาแล้ว ตัวเกมออกจะตอบโจทย์คนที่ไม่เคยสัมผัสเกมนี้มาก่อนมากกว่า
- ไม่มีโหมดมัลติเพลเยอร์ให้เล่นเหมือนตัวต้นฉบับหรือตัวรีมาสเตอร์ ความคุ้มค่าเลยหายไปพอสมควร
- ซับไตเติลภาษาไทยยังมีพิมพ์ตกหรือพิมพ์ผิดในบางจุด รวมถึงคำแปลบางช่วงอาจดูแปร่งสักหน่อย เนื่องด้วยข้อจำกัดของกระบวนการแปลซับ
- ราคาอาจจะเป็นประเด็นสำหรับคนที่เคยเล่นเกมนี้มาแล้ว ตามเหตุผลที่ระบุไว้บนเนื้อหารีวิวด้านบน
คะแนน 8
ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ Online Station ได้ที่ https://www.online-station.net