ตั้งแต่จำความได้ตัวเองอยู่กับชื่อของแฟรนไชส์ Jurassic มาทั้งชีวิต ตอนปี 93 ผมได้ดู Jurassic Park ภาคแรกในวัย 4 ย่าง 5 ขวบ แม้จะจำเนื้อเรื่องไม่ได้มากมายนัก แต่สิ่งที่ติดจำฝังตรึงในหัวคือความน่าสะพรึงชวนหลงไหลของไดโนเสาร์ แม้จะหลายปีถัดจากนั้นเราก็ยังมีความรู้สึกว่าหาได้มีสื่ออื่นใดจะนำเสนอไดโนเสาร์ได้ใกล้เคียงแฟรนไชส์นี้สักนิด
เรียกได้ว่าอิทธิพลของ Jurassic Park นั้นเกินกว่าหนังเรื่องหนึ่งไปไกล นอกจากชุบชีวิตไดโนเสาร์ในหนัง มันยังทำให้ความสนใจที่มีต่อสัตว์ล้านปีซึ่งสูญพันธุ์จนถูกลืมเลือนไปให้กลับมาได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แม้ในอีกเกือบ 3 ทศวรรษถัดมา
ขณะที่ไตรภาคที่ 2 อย่างชุด Jurassic World มันอาจไม่ได้เข้มขลังเหมือนตอนภาคแรกๆ แต่ก็มาพร้อมงานวิช่วลสุดตระการตาและพยายามนำเสนอไอเดียใหม่ๆ ที่มากกว่าการเอาตัวรอดจากพาร์คสุดอันตรายไปวันๆ ดังนั้นแล้วกับภาคปิดฉากอย่าง Dominion จะได้รับความคาดหวังสูงก็ไม่แปลก เพราะว่าวัตถุดิบต่างๆ รวมไปถึงความสดใหม่ก็ดูจะถึงพร้อม ซึ่งคนปรุงอย่าง โคลิน เทรเวอร์โรล ผู้กำกับนั้น ก็พยายามอย่างเต็มที่ในการถ่ายทอดมันออกมา ถึงแม้จะมีช่วงรสที่ชวนคิ้วขมวดไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดมันก็ยังเป็นภาพยนตร์เอร็ดอร่อยและชวนทานได้เรื่อยๆ อยู่ดี
***บทความนี้ไม่มีสปอยล์
Jurassic World Dominion เป็นเรื่องราวประมาณ 4 ปีถัดจากภาค Fallen Kingdom เมื่อไดโนเสาร์หลุดออกจากสถานที่กักกันสู่ป่าธรรมชาติและโลกภายนอก พวกมันก็แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วจนเต็มทั่วทั้งโลกและไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป เจ้าโลกยุคปัจจุบันกับอดีตเจ้าโลกที่กลับมาอีกครั้งจึงต้องหาความลงตัวร่วมกันให้ได้ โดยที่ภัยบางอย่างกำลังก่อต่อขึ้นอย่างเงียบๆ จากการคงอยู่บนโลกของพวกมัน
Jurassic World Dominion พาตัวเองไปเล่นใหญ่ในประเด็นที่ชวนคาดไม่ถึง จนผมเองรู้สึกว่าเขาไม่สามารถคอนโทรลให้มันสมูธไร้เรื่องติดขัดได้ถนัดถนี่นัก บางประเด็นก็รู้สึกว่าล้ำไปหน่อยจนไม่อยากซื้อไอเดีย แต่หากพิจารณาว่านี่คือจักรวาลจูราสสิคพาร์ค มาถึงขนาดนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ มันก็พอจะชโลมความเอ๊ะของตัวเองไปได้ในระดับหนึ่ง
ภาพรวมของเนื้อเรื่อง จึงค่อนไปในทางธรรมดาแกมขมวดคิ้วหน่อยๆ ทว่าในส่วนของแฟนเซอร์วิสกลับจัดเต็มสุดๆ กับการนำ 3 ตัวหลักจากไตรภาคแรกทั้ง อลัน แกรนต์, เอลลี่ แซทเลอร์ และ เอียน มัลคอม มาเป็นอีกหนึ่งกลุ่มตัวนำเส้นเรื่องหลักพร้อมฉากและซีนซึ่งทริบิวต์ให้กับตัวหนังภาคแรกรัวๆ แฟนพันธุ์แท้คงมีกรี๊ดกันไปข้าง
แน่นอนว่าการได้เห็นกลุ่มตัวละครในตำนานพาเหรดมาอยู่บนจอเงินอีกครั้งมันก็สร้างความฟินมากๆ แล้ว ทว่าปัญหาคือเส้นเรื่องของพวกเขามันดันจืดไปสักนิด พอต้องตัดสลับกับอีกเส้นเรื่องของ โอเวน และ แคลร์ ที่น่าสนใจกว่ากันมากๆ จึงเห็นความแตกต่างชัดเจน และพาลทำให้อารมณ์แอบสะดุดไปสักหน่อย
แต่เอาล่ะ คุณๆ ต่างรู้โพซิชั่นของหนังเรื่องนี้กันดีว่าทำมาเพื่ออะไร ให้ใครดู หรือต้องเผื่อใครดู ดังนั้นถ้าคุณทำตัวไหลไปกับเรื่องราว พลางพยักหน้าเออออไปกับหนังได้เรื่อยๆ สิ่งที่เหลืออยู่ของ Jurassic World Dominion คือความบันเทิงล้วนๆ ที่คอหนังไดโนเสาร์ไม่อาจปฏิเสธได้
สิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันเจ๋งมากๆ ของหนังคือการพยายามสร้างภาพไดโนเสาร์กับมนุษย์อยู่ในซีนเมืองละแวกเดียวกัน ต่างคนต่างก็พยายามใช้ชีวิตตามรูทีนของตัวเอง ไม่มีแตกตื่นไม่มีตกใจ บ้างก็ต้องคอยช่วยเหลือกัน ตัวเป็นภัยก็มีบ้าง แต่มันก็ราวกับคล้ายว่าจะเป็นข่าวอุบัติเหตุประจำวันไปเสียแล้วและไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจนเกินไปนัก
มันเป็นอะไรที่น่าสนใจและรู้สึกสดใหม่ดี อย่างฉากการไล่ล่าในเมืองของประเทศมอลตาซึ่งได้เห็นแวบๆ ในตัวอย่างนั้น ก็ต้องบอกว่าเป็นวิช่วลที่ทั้งใหม่ ทั้งเดือด เป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นในแฟรนไชส์นี้มาก่อน และส่วนตัวยกให้มันเป็นซีนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเรื่องแล้ว ยิ่งกว่าไคลแมกซ์ช่วงสุดท้ายของเรื่องเสียอีก
ส่วนคนที่รอชมไดโนเสาร์ที่ปรากฎตัวในเรื่องก็ไม่ต้องห่วง ขนหน้าเก่าหน้าใหม่กันมาแบบเบิ้มๆ Jurassic World Dominion เต็มไปด้วยไดโนเสาร์มากมายที่ถูกอัปเดตรูปลักษณ์ตามการศึกษาวิจัยในยุคปัจจุบันเข้าไป ทำให้นอกจากความโดดเด่นด้านปริมาณแล้ว ด้านรูปลักษ์ก็ชวนทึ่งเช่นกัน ทั้งเรายังได้เห็นตัวที่ชวนให้คิดว่า “มันมีตัวนี้อยู่ด้วยเหรอฟระ?” อีกประมาณหนึ่งเลย ดังนั้นแล้วในแง่ของการเป็นหนังที่อุดมไปด้วยไดโนเสาร์ถือว่าตอบโจทย์มากๆ
แต่ก็นั่นแหละแม้จะเป็นหนังที่เปี่ยมไปด้วยความบันเทิงและไดโนเสาร์แบบที่ผมชอบ ทว่าส่วนตัวแล้วเพราะหนังเป็นภาคปิดทั้งทีก็อยากให้มันเน้นเนื้อเรื่องหรือสตอรี่เทลลิ่งมากกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะที่จริงก็เกือบจะสวยแล้ว ติดแค่นิดเดียวจริงๆ
และเพราะแบบนั้นแม้ Jurassic World Dominion อาจจะไม่ใช่ภาคที่ผมชอบที่สุด เพราะผมไม่อาจเป็นพวกเตะทิ้งการเล่าเรื่องได้ แต่ถึงอย่างนั้นในพาร์ทแอคชั่นของมันกลับทำได้น่าสนใจกว่าที่คิด รวมไปถึงเหล่าไดโนเสาร์เจนเนอเรชั่นใหม่ที่ถูกนำมาแนะนำตัวในหนังมันก็ยังน่าสนใจมากๆ หากจะใช้พวกมันเป็นวัตถุดิบในภาคถัดๆ ไป
สุดท้ายแล้ว Jurassic World Dominion อาจยังไม่ถึงกับเป็นที่สุดของใจ แต่มันก็เป็นงานที่ควรค่าต่อการรับชมความบันเทิงอันไม่เหมือนใครในโรงภาพยนตร์อยู่เสมอครับ