ทันทีที่ภาพยนตร์จบลงผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นท่านเซอร์กาเวนพระเอกของเรื่องในตอนที่หาญท้าตบปากรับคำอัศวินมรกตต่อภารกิจที่ไม่ค่อยได้พบเจอ ไม่เคยคุ้นชิน ก่อนจะพบว่ามันเป็นอะไรที่ยากและท้าทายเกินตัวไปมาก ผมรู้สึกว่ามันเป็นผลงานที่มีดีเทลมหาศาล และรู้สึกไม่แปลกใจที่ว่าทำไมนักวิจารณ์จึงพากันเทใจลงคะแนนให้หนังเรื่องนี้กันอย่างล้นหลาม
แต่เมื่อผมไม่อาจรับสารจากดีเทลมากมายได้อย่างธรรมชาติ จึงไม่อาจรู้สึกได้ว่ามันควรสนุกตรงไหน เวลาลากยาวพ้นผ่านไปหนึ่งคืนจนป่านนี้ก็ยังไม่แน่ใจด้านความรู้สึกตัวเอง แต่พอไปลองไล่อ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ก็สัมผัสได้ขึ้นมาเล็กน้อยว่าถ้าได้ดูอีกทีคงสนุกขึ้นแน่ๆ แต่เมื่อได้ดูรอบเดียวมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถสรุปรวมสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นคะแนน ผมอาจไม่ได้เอนจอยนัก แต่ก็รู้สึกทึ่งที่กลายเป็นว่าความสนุกของหนังจะผันแปรตามองค์ความรู้ของแต่ละคน และสามารถตีความได้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีผิด ไม่มีถูก มันไม่ได้เป็นหนังที่ดูบันเทิงเหมือนชื่อไทย แต่เป็นหนังที่ท้าทายคนดูในแทบทุกซีน ไม่รีรอ และไม่ประนีประนอม
***บทความนี้ไม่มีสปอยล์
The Green Knight เล่าเรื่องราวของเซอร์กาเวน หลานรักของคิงอาเธอร์ผู้ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาจนวันหนึ่งจับพลัดจับผลูไปรับคำท้าของอัศวินมรกตที่ขอท้าทายให้ใครก็ได้มาโจมตีตัวเอง โดยเขาจะมอบความรุ่งโรจน์ให้ แต่หนึ่งปีหลังจากนั้น คนๆ จะต้องออกเดินทาง 6 คืนไปยังวิหารเขียว เพื่อให้เขาโจมตีคืนในแบบเดียวกัน ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยของกาเวนผู้ต้องการมัเรื่องเล่าเป็นของต้วเอง
ถึงจะบอกว่าเป็นการผจญภัยแต่อยากให้ตัดฟิลหนังผจญภัยไปก่อนเลย The Green Knight ไม่ได้มีความใกล้เคียง หรือพูดให้ถูกคือจงใจจะไมม่ใกล้เคียง ตัวหนังนั้นสร้างจากบทกวีโบราณที่ว่าด้วยการตามหาความหมายของชีวิตและความเป็นอัศวิน โดยที่โยนตัวละครที่ไม่ได้มีนิสัยมุ่งมั่นแต่ถูกกดดันจากสถานะและคนรอบตัวว่าเขาต้องโตได้แล้ว เข้าสู่เหตุการณ์แปลกๆ ไม่คาดคิด เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้ใจและชวนรันทด
โดยช่วงนี้ผู้ชมภาพยนตร์หลายๆ คนอาจคุ้นหูคำว่าสโลว์เบิร์นขึ้นมาจากการที่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง DUNE หรือ Eternals เข้าโรงฉายติดๆ กัน แม้โดยส่วนตัวผมจะรู้สึกว่าจังหวะมันไม่ได้ช้าขนาดนั้น แต่พอมันช้ากว่าความเป็นหนังแมส หลายๆ คนจะรู้สึกว่าน่าเบื่อก็ไม่แปลก
อย่างไรก็ดี 2 เรื่องข้างต้นคือเร็วเป็นชีต้าไปเลยมาเจอกับ The Green Knight กับสไตล์การเล่าไปเรื่อยๆ แช่กล้องนิ่งๆ ไม่ใส่เพลงประกอบพร่ำเพรื่อ ปล่อยให้ความเงียบและเสียงแอมเบียนท์ในฉากเข้าครอบงำผู้ชมโดยที่แทบไม่มีไคลแมกซ์หรือฉากสู้ใดๆ มันชัดเจนว่าไม่ใช่หนังสำหรับบุคคลทั่วไป หากใครหลงชื่อไทยกะเข้ามาดูฉากแอคชั่นสนุกๆ ผมขอ RIP ล่วงหน้า เพราะหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นให้คุณเลย
แต่สำหรับผู้แสวงหาการดูภาพยนตร์หนักๆ ที่มีพร้อมทั้งการใช้ศาสตร์ด้านภาพ เสียง สีสัน ความรู้สึก รวมถึงความท้าทายในการตีความสารในแต่ละซัน นี่เป็นผลงานที่คุณถวิลหา The Green Knight เป็นหนังที่ใช้งานด้านภาพได้อย่างน่าทึ่ง ช็อตโคลสอัพที่โชว์พลังของนักแสดง การใช้สีเพื่อเปลี่ยนหรือส่งต่ออารมณ์แบบไร้รอยต่อ จุดนี้มีให้คุณๆ ทั้งหมด หรือถ้าใครที่เรียนฟิล์มอยู่จะลองมาดูก็ไม่เสียหลายเช่นกัน
The Green Knight อาจไม่ใช่หนังที่ดูยากที่สุด แต่มันเป็นหนังที่ดูไม่ง่ายแน่ๆ เหมือนเช่นผมที่แม้จะลองพยายามคิดตามตลอดเรื่อง ก็ไม่ได้อะไรจากมันมากนัก เพราะหนังเรื่องนี้ไม่มีฉากแอคชั่นหรือช็อตที่เร้าความตื่นเต้นมาประเคนให้ มันไหลไปเรื่อยๆ ไม่รีรอ ไม่ไถ่ถามว่าเข้าใจไหม เป็นดั่งบทกวีที่มุ่งเน้นยังความหมายบนความสวยงาม ผู้ชมจะพึงพอใจกับมันขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเข้าใจมันได้เท่าไหร่ มันไม่เหมาะกับทุกคน แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเชียร์ให้ทุกคนลองได้ดูครับ