ฉลอง 5 ปี RE Revelations 2 กับเกร็ดและทริคที่คุณอาจยังไม่รู้

ซีรีส์ Resident Evil Revelations (RE Revelations) นั้นเป็นอีกหนึ่งไลน์เนื้อเรื่องของเกม Resident Evil ที่ใช้เส้นเรื่องร่วมกับไทม์ไลน์ของภาคหลักครับ โดยเริ่มมีภาคแรกมาตั้งแต่ปี 2012 บนเครื่อง Nintendo 3DS ก่อนที่จะถูกพอร์ตไปลงแพลตฟอร์มอื่น ๆ ในภายหลัง กระทั่งมีภาค 2 ออกตามมาในปี 2015 ซึ่งทั้งสองภาคต่างก็ได้รับความนิยมสูงในระดับหนึ่ง ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้น แฝงด้วยบรรยากาศหลอน ๆ ทว่าก็จะมีข้อเสียใหญ่ ๆ ตรงความที่โปรเจ็กต์พัฒนาเกมนี้ค่อนข้างไปในแนวทุนต่ำ ทำให้กราฟิกหรือการเคลื่อนไหวของตัวละครดูไม่สวยและสมูธเท่ากับภาคหลักเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้น RE Revelations 2 ก็ถือเป็นอีก 1 ภาคที่ใครเป็นแฟนเกมแนวสยองขวัญควรหามาเล่นกันอย่างแรง

ว่าแล้วในวาระฉลองที่เกมมีอายุครบ 5 ปีของการวางจำหน่ายพอดี เราเลยขอนำเสนอด้วยเกร็ดเล็กน้อยและความลับต่าง ๆ ในเกม RE Revelations 2 กันสักหน่อยครับ

เกร็ดน่ารู้ในเกม

เนื้อเรื่องของเกมนี้มีการแบ่งออกเป็น 4 ตอน โดยชื่อตอนของทั้ง 4 ของภาคนี้ ได้แก่ Penal Colony (แดนลงทัณฑ์), Contemplation (ในความนิ่งนึก), Judgment (คำพิพากษา) และ Metamorphosis (กลาย) ล้วนนำมาจากชื่อบทประพันธ์ชิ้นเอกของ ฟรานซ์ คาฟคา (Franz Kafka) นักเขียนชื่อดังเชื้อสายโบฮีเมียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1883-1924 โดยสไตล์งานเขียนของคาฟคาจะเป็นแนวมืดมน เน้นสื่อให้เห็นถึงความน่ากลัวของสังคมยุคสมัยใหม่ที่ดูศิวิไลซ์ ผ่านมุมมองของตัวละครในเรื่องที่จะเป็นคนเก็บตัว โดดเดี่ยว แฝงความอ้างว้างและทุกข์ทรมานอยู่ในใจ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักอ่าน ซึ่งมักจะตีความเนื้อหาบทประพันธ์ของคาฟคาไปต่าง ๆ นานา เป็นประเด็นต่อยอดกันได้มากมาย

ก่อนหน้านี้ในเกม Resident Evil Revelations ภาคแรก ทางทีมพัฒนาก็ได้มีการนำบทประพันธ์ Divine Comedy ที่เป็นผลงานของ ดันเต้ อลิเกียรี (Dante Alighieri) มาใช้เป็นบทพูดของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เรียกตัวเองว่า Il Veltro เช่นกัน ซึ่งไอเดียนี้มาจากคุณได ไซโตะ (Dai Saito) ผู้เขียนบทของ Revelations ทั้ง 2 ภาคที่ต้องการสร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวซีรีส์นี้

Revelations 2 มีการใช้ธีมโครงเรื่องแนว “ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและคุ้นเคย” ในการนำเสนอผู้เล่น ซึ่งตลอดทั้งเกมเราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครใน 2 เนื้อเรื่อง โดยแคลร์จะทำหน้าที่คล้ายกับพี่สาวของมอยร่า ในขณะที่แบร์รี่ก็มีลุคที่ดูราวกับเป็นพ่อแท้ ๆ ของนาตาเลีย และคอนเซ็ปต์ของธีมที่พยายามจะพูดถึงปมประเด็นทางจิตใจก็เป็นส่วนสำคัญในการเขียนพล็อตเหมือนกัน ดังจะเห็นได้จากกำไลที่อยู่บนข้อมือแคลร์กับมอยร่านั้นเป็นเครื่องตรวจจับความกลัวของผู้สวมใส่ เช่นเดียวกับเพลงประกอบของเกมบางเพลงก็มีชื่อว่า Insanity (ความวิกลจริต) หรือ Despair (ความสิ้นหวัง) รวมถึงบรรดาศัตรูหลักในเกมก็มีชื่อว่า Afflicted (ความทนทุกข์ทรมาน) อีกด้วย

ความลับต่าง ๆ ในเกม

หากเคลียร์เกมไปแล้วรอบนึง จะปลดล็อคสิ่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้เล่นในรอบต่อไปได้ดังต่อไปนี้

1. ปืนกล Chicago Typewriter
2. ปืน Bowgun แบบไม่จำกัดกระสุน
3. โหมด Invisible ที่บรรดาศัตรูในเกมจะล่องหนทั้งหมด
4. โหมด Countdown เป็นโหมดจับเวลาคล้ายกับ Time Attack ของเกมอื่น ๆ ผู้เล่นต้องรีบลุยให้ผ่านแต่ละโซนของเนื้อเรื่องให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด
5. ชุดสวมใส่ของแบร์รี่จากเกม Resident Evil ภาคแรก
6. ชุดสวมใส่ของแคลร์จากเกม Resident Evil 2

หากเคลียร์เกมโดยใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง จะสามารถปลดล็อคปืน Rocket Launcher แบบไม่จำกัดกระสุนมาใช้ได้
ถ้าเคลียร์เกมโดยเจอฉากจบแบบ Good Ending จะสามารถปลดล็อคชุด Sniper ของแคลร์มาสวมใส่ได้
ถ้าเคลียร์เกมในระดับ Casual โดยได้ Rank S ทั้ง 4 Chapter จะปลดล็อคฟิลเตอร์ภาพหน้าจอเป็นแบบ Classic Horror ได้
ถ้าเคลียร์เกมในระดับ Normal โดยได้ Rank S ทั้ง 4 Chapter จะปลดล็อคฟิลเตอร์ภาพหน้าจอเป็นแบบ Sepia-Toned ได้ พร้อมกับปลดล็อคอาวุธดาบสั้น (Short Sword) มาใช้ได้ด้วย

ถ้าเคลียร์เกมในโหมด Invisible ได้ จะปลดล็อคดาบซามูไร Moira’s Katana มาใช้ได้
ถ้าเคลียร์เกมในโหมด Countdown ได้ จะปลดล็อคปืนฟองสบู่ Natalia’s Bubble มาใช้ได้
ถ้าเคลียร์เกมในระดับ Survival ได้ จะปลดล็อคระดับความยากใหม่คือ No Escape มาเล่นได้ในรอบถัดไป รวมถึงปลดล็อคอาวุธสว่าน Meat Grinder มาใช้ได้ด้วย
ถ้าเคลียร์เกมในระดับ Survival โดยได้ Rank S ทั้ง 4 Chapter จะปลดล็อคฟิลเตอร์ภาพหน้าจอเป็นแบบ Comic Noir ได้

ถ้าเคลียร์เกมในระดับ No Escape ได้ จะปลดล็อคอาวุธทุกชนิดในเกมให้สามารถใช้แบบไม่จำกัดกระสุนได้
ถ้าเคลียร์เกมในระดับ Survival โดยได้ Rank S ทั้ง 4 Chapter จะปลดล็อคฟิลเตอร์ภาพหน้าจอเป็นแบบ Cursed Video ได้
ถ้าเคลียร์เกมครบทุกระดับความยาก โดยได้ Rank S ทั้งหมดทุก Chapter จะปลดล็อคฟิลเตอร์ภาพหน้าจอเป็นแบบ Black and White ได้