รวมมิตรเครื่องเกมที่แป้กหนักที่สุดในประวัติศาสตร์

ปัจจุบันนี้ วงการเกมคอนโซลและแฮนด์เฮลด์ก็อยู่ในช่วงปลายของเจเนอเรชั่นที่ 8 แล้วนะครับ โดยหากนับจากเครื่องเกมเจเนอเรชั่นแรกมาจนถึงวันนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาประมาณ 40 ปีแล้ว เกมเมอร์ต่างก็ได้เห็นเครื่องเกมที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงเครื่องเกมที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า คละเคล้ากันไป ซึ่งบทความในรอบนี้เราจะมานำเสนอ 5 เครื่องเกมคอนโซลและแฮนด์เฮลด์ที่แป้กหนักที่สุดในประวัติศาสตร์มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันครับว่ามีเครื่องอะไรบ้าง

1. HyperScan
ผู้พัฒนา: Mattel
เริ่มวางจำหน่าย: 23 ตุลาคม 2006
ยุติสายการผลิต: 31 ธันวาคม 2007


เจ้าเครื่อง HyperScanนี้ มันได้ถูกวางจำหน่ายในช่วงที่วงการเกมคอนโซลกำลังเข้าสู่เจเนอเรชั่นที่ 7 ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวระหว่างเครื่อง PS3 ของ Sony, Xbox 360 ของ Microsoft และ Wii ของ Nintendo ครับ

ดูเหมือนทางบริษัท Mattel ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเจ้าของแบรนด์ตุ๊กตาบาร์บี้, เกมการ์ด UNO และรถจิ๋ว Hot Wheel จะอยากลงมาร่วมท้าชิงความเป็นผู้นำตลาดในวงการนี้ด้วย ก็เลยผลิตเครื่อง HyperScanออกมา อีกทั้งพยายามชูจุดขายกับกลุ่มเกมเมอร์ที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ด้วยเกมเรือธงที่เป็นแนวซูเปอร์ฮีโร่อย่าง X-Men พร้อมกับฟีเจอร์แหวกแนวอย่างการ์ดที่ฝังชิพ RFID ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ Mattel ภูมิใจเสนอ โดยบนเครื่อง HyperScanจะมีช่องสแกนให้เราเสียบการ์ดเข้าไปเพื่อโหลดตัวละครและสกิลใหม่ๆ เพิ่มได้ มองเผินๆ แล้วน่าจะพอเข้าใจได้ว่าทาง Mattel จงใจจะขายการ์ดเป็นโมเดลธุรกิจระยะยาวเลยทีเดียว

แต่สิ่งที่ Mattel พลาดอย่างแรงก็คือ HyperScan ดันใช้สื่อเป็นแผ่นซีดีรอมธรรมดาที่มีความจุราวๆ 600 MB เท่านั้น ในขณะที่เครื่องอื่นๆ ต่างกระโดดไปใช้แผ่นดีวีดี (Wii และ Xbox 360) หรือแผ่นบลูเรย์ (PS3) ที่มีความจุเป็นหลัก GB กันหมดแล้ว ประกอบกับสเปคของ HyperScan ก็ต่ำกว่าชาวบ้านด้วย พอเป็นเช่นนี้ กราฟิกก็เลยแย่ตาม โหลดเกมก็นานหลายนาที กระทบไปถึงยอดขายที่ดูไม่จืดเลย จน Mattel ต้องม้วนเสื่อถอยออกไปจากสงครามตลาดเกมคอนโซลอย่างถาวรนับแต่นั้น

 


2. N-Gage
ผู้พัฒนา: Nokia
เริ่มวางจำหน่าย: 7 ตุลาคม 2003
ยุติสายการผลิต: 26 พฤศจิกายน 2005


ขณะที่ Nintendo กำลังครองตำแหน่งผู้นำตลาดเกมแฮนด์เฮลด์บนเครื่อง Game Boy Advance ชนิดไม่เห็นฝุ่น ทางแบรนด์ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออย่างโนเกียก็นึกอยากจะมาดึงความสนใจจากเกมเมอร์สายแฮนด์เฮลด์ดูบ้าง นั่นจึงเป็นที่มาของเครื่องเกมลูกผสม ที่เป็นการผนวกความเป็นโทรศัพท์มือถือระบบซิมเบี้ยนและเครื่องเกมแฮนด์เฮลด์เข้าไว้ด้วยกัน ในชื่อสุดจ๊าบว่า N-Gage

ไปๆ มาๆ ความฝันที่จะโลดแล่นบนวงการเกมของ Nokia ก็อยู่ได้ไม่นานครับ ด้วยปัญหาของตัวเครื่องที่มีขั้นตอนการเปลี่ยนแผ่นเกมที่ยุ่งยากมาก เพราะต้องดึงฝาหลังและแกะแบตเตอรี่ออกมาเป็นพวงกว่าจะเปลี่ยนแผ่นเกมได้สำเร็จ แถมลำโพงของไมโครโฟนของ N-Gage ก็ดันถูกออกแบบมาให้อยู่ตรงสันเครื่อง ทำให้เวลาจะคุยโทรศัพท์ก็ต้องพลิกเอาสันเครื่องแนบหู ผิดธรรมชาติของโทรศัพท์มือถือทั่วไปที่นำส่วนหน้าจอมาแนบใบหน้าระหว่างสนทนา

ท้ายที่สุดแล้ว N-Gage ก็ทำยอดขายรวมตลอด 2 ปีไปได้เพียง 2 ล้านเครื่อง ถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเป้าหมายหลักที่ Nokia ต้องการจะพิชิตอย่าง Game Boy Advance ซึ่งขายได้กว่า 80 ล้านเครื่องครับ


3. Virtual Boy
ผู้พัฒนา: Nintendo
เริ่มวางจำหน่าย: 21 กรกฎาคม 1995
ยุติสายการผลิต: 2 มีนาคม 1996


เห็นแล้วอาจไม่น่าเชื่อนะครับว่ายักษ์ใหญ่ของวงการเกมคอนโซลอย่าง Nintendo เคยทำเครื่องเกมแป้กกับเขาด้วย ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ Virtual Boy ที่เปิดตัวในฐานะเครื่องเกมที่แสดงผลเป็นภาพสามมิติสีแดง-ดำ แบบซ้อนเหลื่อม โดย Nintendo ได้ทุ่มเวลากับการพัฒนาเครื่องนี้นานถึง 4 ปี แต่ผลตอบรับที่ออกมาทำเอาทางปู่นินถึงกับเข็ด และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยี VR ไปนานหลายเจเนอเรชั่นเลย

ปัญหาแรกที่ผู้คนบ่นกันถึงตัว Virtual Boy ก็คือราคาครับ โดยเปิดตัวที่ 180 เหรียญสหรัฐฯ (หรือราวๆ 310 เหรียญสหรัฐฯ หากอิงตามเรตค่าเงินของปี 2019) ซึ่งแพงมากสำหรับเกมคอนโซลในยุคนั้น ต่อมาคือประเด็นของการเล่นที่ไม่สะดวกสบายนัก นอกจากนี้ตัวเครื่องยังไม่ได้มีการออกแบบมาเพื่อรองรับกับผู้เล่นที่ต้องสวมแว่นในชีวิตประจำวัน พอมาเล่นเครื่องนี้แล้วต้องถอดแว่น การมองเห็นและอรรถรสที่ได้รับจึงไม่ดีเท่าที่ควร ตลอดจนแผนการโปรโมทที่แย่ ขนาดที่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Nintendo เคยมีการวางจำหน่ายเครื่อง Virtual Boy และก็ยุติสายการผลิตไปแล้ว


4. 3DO
ผู้พัฒนา: Panasonic, Sanyo, GoldStar
เริ่มวางจำหน่าย: 4 ตุลาคม 1993
ยุติสายการผลิต: ปลายปี 1996


เจ้าเครื่องนี้ถือกำเนิดในยุคเดียวกับ PS1 ครับ โดยถูกวางคอนเซ็ปต์ในตอนแรกว่าจะเป็นเครื่องมัลติมีเดียที่พร้อมมอบความบันเทิงในครัวเรือน และไม่เจาะจงว่าให้เป็นเพียงเครื่องเกมคอนโซลเท่านั้น แถมประกาศด้วยว่าตัวเครื่องจะมีค่ายเกม 3rd Party มาทำเกมลงให้เพียบ แต่กลายเป็นว่า 3DOกลับแป้กสนิท ด้วยความที่ตั้งราคาไว้สูงเว่อร์ ณ ตอนนั้น คือ 699 เหรียญสหรัฐฯ (หรือราวๆ 18,000 กว่าบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนของปี 1993) แถมการเหยียบเรือสองแคม ไม่เน้นไปที่ด้านใดด้านหนึ่งไปเลยทำให้ผู้บริโภคและบรรดาผู้พัฒนาเกมมองแล้วไม่น่าสนใจ เลยทำให้พ่ายแพ้ต่อ PS1 ขาดลอย จากความล้มเหลวที่เกิดขึ้นทำให้บริษัท 3DO Company ต้องปิดตัวลงและเหล่าบริษัทที่ร่วมหุ้นกันทำเครื่องนี้ต่างก็ถอนตัวไปจากตลาดเกมคอนโซลอย่างถาวรไปโดยปริยาย


5. Neo Geo CD
ผู้พัฒนา: SNK
เริ่มวางจำหน่าย: 9 กันยายน 1994
ยุติสายการผลิต: 1997


Neo Geo CD นับเป็นเครื่องเกมคอนโซลในเจนที่ 4 ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคเดียวกับเครื่อง Super Famicom ของ Nintendo และ Mega Drive ของ Sega โดยตอนแรกนั้นทาง SNK ได้วางจำหน่ายเครื่อง Neo Geo รุ่นแรกที่ใช้ตลับเกมในการเล่นมาก่อน แต่เนื่องจากว่าตลับเกม Neo Geo มีราคาที่สูงมาก (ประมาณ 300 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะนั้น) ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถสู้ราคาของตลับเกมได้ ส่งผลให้ยอดขายของ Neo Geo ซบเซาอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้ SNK ก็เลยแก้เกมด้วยการออกเครื่อง Neo Geo CD ตามมา โดยใช้สื่อการเล่นเป็นแผ่น CD แทน ซึ่งราคาต่อแผ่นก็ตกอยู่ที่ราวๆ 49-79 เหรียญเหมือนเกมบนแพลตฟอร์มอื่นๆ

ทว่าเทคโนโลยีของไดรฟ์หัวอ่านแผ่น CD-ROM เกมในยุคนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายครับ เป็นเหตุให้เครื่อง Neo Geo CD มีความเร็วของหัวอ่านอยู่ที่ 1X เท่านั้น เวลาเล่นเกมสักเกมจึงใช้เวลาโหลดนานจนแทบหลับกันหน้าทีวี นึกภาพตามง่ายๆ ครับว่าเวลาใส่แผ่นเกม The King of Fighter’ 95 เข้าไปปุ๊บ เวลาจะสู้กันสักแมตช์ก็ต้องโหลดกันหลายนาที พอสู้กันเสร็จก็โหลดต่ออีกหลายนาที จะเปลี่ยนตัวละครก็รอโหลดเป็นนาที

ถ้าจะให้เปรียบเทียบกันง่ายๆ ก็ตามนี้ครับ

Neo Geo – เครื่องราคาถูก ตลับเกมแพงนรก แต่แทบไม่ต้องเสียเวลาโหลด
Neo Geo CD – เครื่องราคาปานกลาง แผ่นเกมราคามาตรฐาน แต่โหลดถี่และนานยันลูกบวช
ท้ายที่สุดแล้ว Neo Geo CD ก็ทำยอดขายทั่วโลกไปได้เพียง 570,000 เครื่อง และแม้ว่าทาง SNK จะมีออกเครื่อง CDZ ที่เป็นรุ่นอัพเกรดของ Neo Geo CD ซึ่งใช้เวลาโหลดน้อยกว่าโมเดลแรกอยู่มาก แต่มันก็ไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ให้ยอดขาย Neo Geo CD กระเตื้องขึ้นมาได้

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้